Pixel 7 และ Pixel 7 Pro สมาร์ทโฟนเรือธงจาก Google เปิดตัวมาพร้อมชิปเซตรุ่นใหม่ Tensor G2 ที่อัปเกรดองค์ประกอบภายในเกือบทุกภาคส่วน และปรับปรุงการทำงานแบบบูรณาการให้ดีขึ้น นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจหลายอย่าง ทั้งในแง่ประสิทธิภาพการใช้งาน การจัดการพลังงาน ความฉลาด ความปลอดภัย และความเป็นส่วนตัว ทั้งยังนำไปสู่การปลดล็อกฟีเจอร์ใหม่ ๆ ที่ชิปเซตรุ่นเก่าไม่สามารถทำได้

มีการเปิดเผยข้อมูลว่า Pixel 6 และ Pixel 6 Pro ซึ่งเป็นรุ่นของปีที่แล้ว ถือเป็นสมาร์ทโฟนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของ Google คือสามารถทำยอดขายได้เยอะและขายได้ไวที่สุด จนเป็นสถิติใหม่เมื่อเทียบกับรุ่นที่ผ่านมาทั้งหมด

ในปีนี้ Google จึงหมายมั่นปั้นมือเป็นอย่างมากว่า Pixel 7 และ Pixel 7 Pro จะสานต่อความปังปุริเย่ เกาะกระแสลมบนแบบนี้ต่อไปให้ได้ โดยจะเห็นได้ว่าในงานเปิดตัว Google แทบจะเข็นทุกอย่างมานำเสนอมากเท่าที่จะมากได้ จนงานเปิดตัวกินเวลาไปนานถึง 1 ชั่วโมงกับอีก 20 นาที ซึ่งการที่ผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม Nest และ Chromecast ที่เคยมีข่าวลือจะเปิดตัวพร้อมกัน ต้องแยกไปเปิดตัวล่วงหน้ากันนอกงาน ก็อาจมาจากสาเหตุนี้ด้วยส่วนหนึ่ง

Tensor G2 ใหม่กว่า เร็วกว่า ทำอะไรได้มากกว่า

สิ่งที่น่าสนใจสำหรับ Pixel 7 และ Pixel 7 Pro ลำดับแรกคงหนีไม่พ้น Tensor G2 ที่เป็นชิปเซตหลัก โดย Google เคลมว่า Tensor G2 เร็วขึ้น 60% เมื่อเทียบกับ Tensor รุ่นดั้งเดิม แต่เร็วขึ้นในที่นี้ไม่ได้หมายถึง CPU หากแต่หมายถึง TPU ที่เป็นหน่วยประมวลผลเฉพาะทางที่รับผิดชอบในด้าน AI และ ML โดยเฉพาะ เหมือนเป็นการยกเอาศูนย์ข้อมูลหรือเดตาเซนเตอร์ขนาดย่อม ๆ มายัดใส่ลงไปในโทรศัพท์มือถือ ซึ่ง 2 สิ่งนี้ถือเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมากสำหรับสมาร์ทโฟนยุคใหม่ และเป็นกุญแจที่นำไปสู่การปลดล็อกฟีเจอร์หลายอย่าง ตามที่เกริ่นไปข้างต้น

ส่วนในแง่ความเร็ว CPU และ GPU ทาง Google ไม่ได้ระบุตัวเลขดิบหรือรายละเอียดอะไรบนหน้ากระดาษ แต่เมื่อพิจารณาว่า Tensor G2 ถูกโปรโมตว่าสามารถเล่นเกมได้อย่างลื่นไหล ในขณะที่ Tensor ไม่ได้เอ่ยถึง เราอาจอนุมานได้ว่าประสิทธิภาพในด้านนี้คงดีขึ้นด้วยเช่นกัน ในขณะที่ข้อมูลจากแหล่งอ้างว่า GPU ทรงพลังขึ้นราว 20%

ใช้งานได้นานขึ้น ในความจุแบต (เกือบ) เท่าเดิม

Google เคลมว่า Tensor G2 กินไฟน้อยลง 20% ส่งผลให้ใช้งานได้นานขึ้นอย่างมาก โดยในโหมด Extreme Battery Saver สามารถใช้งานได้นานสุดถึง 72 ชั่วโมง เมื่อเทียบกันแล้ว Pixel 6 และ Pixel 6 Pro ในงานได้นานสุดเพียง 48 ชั่วโมงในความจุแบตเตอรี่ที่แทบไม่ต่างกัน และตามทฤษฎีแล้ว ความร้อนควรจะน้อยลงตามความก้าวหน้าของกระบวนการผลิตชิปเซตด้วย

หมดห่วงเรื่องซอฟต์แวร์ อัปเดตไปเลย 5 ปี

ข้อดีประการใหญ่ประการหนึ่งที่ Google ตัดสินใจโบกมือลา Snapdragon มาใช้ Tensor คือเรื่องการสนับสนุนซอฟต์แวร์ระยะยาว — ก่อนหน้านี้ Qualcomm ถูกโจมตีมาตลอด ว่าเป็นตัวการที่ทำให้อุปกรณ์ Android ไม่ได้รับการอัปเดตยาวนานอย่างที่ควรจะเป็น เพราะไม่ยอมออกอัปเดตไดรเวอร์เฟรมเวิร์กส่วนที่ติดต่อกับระบบปฏิบัติการให้ผู้ผลิตสมาร์ทโฟน แต่พอมาเป็น Tensor แล้ว Google จึงจัดการอะไร ๆ ได้ง่ายขึ้น การอัปเดตได้เพิ่มมาเป็น 3 ปีในส่วนระบบปฏิบัติการ และ 5 ปีในส่วนแพตช์ความปลอดภัย

ฟีเจอร์ใหม่ ไม่ขาดมือ

แนวทางการอัปเดตซอฟต์แวร์ของ Google จะแตกต่างจากผู้ผลิตสมาร์ทโฟน Android รายอื่นเล็กน้อย คือแทนที่จะอัปเดตแบบตูมเดียวในการข้ามเวอร์ชันของแต่ละปี ก็จับเอาการอัปเดตฟีเจอร์แยกส่วนออกมาเป็นอัปเดตย่อยที่เรียกว่า Feature Drop ซะ ทำให้ผู้ใช้งานไม่ต้องรอนานที่จะได้ใช้ฟีเจอร์ใหม่ ๆ ทั้งยังออกอัปเดตให้เรื่อย ๆ ในกรอบเวลา 5 ปี ไม่ใช่ 3 ปี พอ Pixel 8 หรือ Pixel 9 เปิดตัวออกมาในอนาคต Pixel 7 ก็จะได้รับฟีเจอร์แบบเดียวกันอยู่เท่าที่ฮาร์ดแวร์จะรองรับ หรือเท่าที่ Google จะไม่กั๊ก

ปลดล็อกด้วยใบหน้าและกล้องเซลฟีมุมกว้างกลับมาแล้ว

เดิมที Google มีแผนจะใส่ฟีเจอร์ปลดล็อกด้วยใบหน้ามาใน Pixel 6 และ Pixel 6 Pro คือวัตถุดิบที่จะใช้ทางการตลาดถูกเตรียมไว้พร้อมหมดแล้ว ทว่า ในการเปิดตัวฟีเจอร์นี้กลับหายวับไปอย่างไร้วี่แวว และสาเหตุก็ยังเป็นปริศนาอยู่จนทุกวันนี้ บ้างก็ว่า Google ทำเสร็จไม่ทัน บ้างก็ว่า Google พบปัญหาบางประการในขั้นตอนทดสอบ ทำให้ฟีเจอร์ Face Unlock ถูกทิ้งช่วงไว้นานมาก ตั้งแต่ Pixel 4 นู่นเลย

แต่จะด้วยเหตุผลใด ๆ ก็ตาม ตอนนี้ Face Unlock มีมาให้แล้วใน Pixel 7 และ Pixel 7 Pro ควบคู่ไปกับฟีเจอร์ Fingerprint Unlock ปลดล็อกด้วยลายนิ้วมือ เลือกใช้ได้ตามสะดวก นอกจากนี้เลนส์ของกล้องเซลฟียังกลับมาใช้เลนส์อัลตราไวด์อีกครั้งในรอบหลายปี ซูมออกไกลสุดเป็นระยะ 0.7 เท่า ถ่ายเซลฟีเป็นกลุ่มกับเพื่อน ๆ ได้ไม่มีปัญหา

ตัวเดียวจบ ครบทุกระยะเลนส์

Pixel 7 มากับกล้องหลัง 2 ตัว คือ กล้องหลักและกล้องอัลตราไวด์ ในขณะที่ Pixel 7 Pro จะมีกล้องเทเลโฟโตเพิ่มเข้ามาอีก 1 ตัว พร้อมอัปเกรดกล้องอัลตราไวด์ให้รองรับคุณสมบัติโฟกัสอัตโนมัติและสามารถถ่ายมาโครได้ในตัว ทำให้มันเป็น Pixel ที่มีระยะการถ่ายภาพครอบคลุมที่สุดเท่าที่เคยมีมา ตั้งแต่กว้างสุด 114 องศา ไปจนถึงแคบสุด 21 องศา หรือเทียบกับได้ระยะซูมออปติคัล 5 เท่า

ซูมได้ 30 เท่า ไกลแค่ไหนก็ใกล้แค่เอื้อม

ฟีเจอร์ Super Res Zoom หรือการซูมความละเอียดสูง ถูกนำเสนอเป็นครั้งแรกใน Pixel 3 ตั้งแต่เมื่อ 4 ปีก่อน คือเป็นการผสานการทำงานร่วมกันระหว่างภาคฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และ ML ให้ภาพที่ถ่ายในระยะซูมดิจิทัลออกมามีคุณภาพใกล้เคียงการถ่ายแบบซูมออปติคัล และในปีนี้ มันถูกหยิบยกมาปัดฝุ่นใหม่ ยกเครื่องอัลกอริทึมใหม่ ป้อนโมเดลใหม่ ๆ ให้ ML เรียนรู้ กลายเป็น Next Generation Super Res Zoom

จากการสังเกตพฤติกรรมผู้ใช้งาน Google พบว่าคนส่วนใหญ่ชอบถ่ายภาพที่ระยะ 2 เท่า ซึ่งเป็นระยะที่ให้ส่วนสัดเป็นธรรมชาติ ใกล้เคียงกับที่มองเห็นจากสายตามนุษย์ โดยระยะนี้จะเป็นช่วงรอยต่อระหว่างกล้องหลักกับกล้องเทเลโฟโต — วิธีการที่ Google ใช้คือ การรีโมเสก จัดเรียงพิกเซลย่อยบนเซนเซอร์กล้องใหม่ จากปกติที่จะจับกลุ่มแบบ 4 ต่อ 1 ก็เปลี่ยนเป็น 1 ต่อ 1 ซะ นอยส์ก็จะน้อยลง ความละเอียดก็จะเพิ่มขึ้น และด้วยความสามารถของ Tensor G2 ก็ทำให้ถ่ายภาพแบบ HDR ร่วมไปด้วยได้ในช็อตเดียว ทุกอย่างถูกประมวลผลเพียงเสี้ยววินาทีในเบื้องหลัง

หากเป็น Pixel 7 Pro ที่มีกล้องเทเลโฟโต Super Res Zoom ก็จะยิ่งแสดงศักยภาพ Super Res Zoom ได้ดีขึ้นไปอีก จากการนำภาพจากกล้อง 2 ตัวมาซ้อนกันเพื่อเพิ่มความคมชัด ซึ่งตรงนี้เองที่ Tensor G2 จะเข้ามามีส่วนเต็ม ๆ ในการใช้ ML ประมวลผล

นอกจากนี้ อัลกอริทึมการถ่ายภาพใหม่ใน Pixel 7 Pro ยังเป็นการยกระดับระบบโฟกัสอัตโนมัติให้เกาะติดวัตถุได้แน่นหนึบ และมีฟีเจอร์ Zoom Stabilization สำหรับป้องกันการสั่นจากกล้องเทเลโฟโตพร้อมวิวไฟน์เดอร์แยกสำหรับช่วยองค์ประกอบภาพอีกด้วย

ถ่ายวิดีโอหน้าชัดหลังละลายแบบเรียลไทม์

ฟีเจอร์กล้องโดยมากของ Pixel 7 จะเป็นการหยิบยกมาจากของเดิมที่มีอยู่แล้วใน Pixel 6 บางส่วนมีการปรับปรุงให้ดีขึ้น เช่น Night Sight และ Real Tone ตามที่เคยนำเสนอไปแล้วในลิงก์ด้านล่าง — ส่วนของใหม่ที่พึ่งเดบิวต์สด ๆ ร้อน ๆ เลยคือ Cinematic Pan หรือการถ่ายวิดีโอพร้อมละลายฉากหลังแบบเรียลไทม์ โดย Google บอกว่าโหมดนี้จะมีความหน่วงแฝงต่ำมาก ทั้งยังใช้พลังงานน้อย ไม่ต้องห่วงเรื่องแบตไหลขณะใช้งาน สามารถถ่ายวิดีโอยาว ๆ เหมือนปกติได้เลย

เจาะลึกความเทพของกล้อง Pixel 6 มาดูว่า Google นำ ML มาประยุกต์ใช้อย่างไรบ้าง

ถ่ายเซลฟีหน้ายังเป๊ะแม้ขณะหลับตา

อีกหนึ่งฟีเจอร์ใหม่ที่ถูกนำมาเดบิวต์ใน Pixel 7 คือ Guided Frame สำหรับผู้มีปัญหาด้านการมองเห็นหรือผู้พิการทางสายตา คุณสมบัติของฟีเจอร์นี้ตรงตามชื่อ คือการแนะนำการจัดองค์ประกอบภาพโดยอัตโนมัติขณะเซลฟี ตัวเครื่องจะคอยให้คำแนะนำว่าเราควรจะขยับกล้องไปในทิศทางไหน ภาพถึงจะออกมาดี ความขี้เล่นของ Google คือการเล่นมุกว่าต่อให้หลับตาถ่ายก็ยังไหว สบาย ๆ

พูดเอายังเร็วกว่า ไม่ต้องพิมพ์ให้เมื่อยนิ้ว

Tensor G2 มีคุณสมบัติในการวิเคราะห์และรู้จำคำพูด มันสามารถถอดเสียงพูดได้อย่างแม่นยำแม้ผู้ใช้งานพูดต่อเนื่องหลายประโยคติดกันก็ตาม Google ได้สาธิตบนเวทีให้ดูว่า Pixel 7 พิมพ์จากเสียงพูด เร็วกว่ามานั่งใช้มือพิมพ์เองอีก ไม่เมื่อยนิ้วด้วย แต่ถ้าพูดนาน ๆ อาจเมื่อยปากแทน

คุยโทรศัพท์เสียงชัดแจ๋วทั้ง 2 ฝั่ง

ความฉลาดด้าน ML ของ Tensor G2 ยังถูกนำมาประยุกต์ใช้ในการคุยโทรศัพท์ คือการกรองเสียงรบกวนรอบข้างโดยอัตโนมัติ ครอบทับกับไมโครโฟนตัดเสียงรบกวนบนตัวเครื่องอีกชั้นหนึ่ง โดยฟีเจอร์นี้มีผลทั้งฝั่งผู้ใช้งานและคู่สนทนาที่เป็นปลายสาย กล่าวคือ เราพูดไป…เขาก็ได้ยินชัด และเขาพูดมา…เราก็ได้ยินชัด เช่นกัน

Pixel 7 และ Pixel 7 Pro เริ่มเปิดให้พรีออร์เดอร์ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ราคาเริ่มต้น 599 ดอลลาร์ (ประมาณ 22,400 บาท) และ 899 ดอลลาร์ (ประมาณ 33,600) บาท ตามลำดับ สำหรับผู้ที่สนใจจะซื้อมาใช้งาน มีข้อควรทราบคือ ตัวเครื่องไม่สามารถเปิดใช้งาน 5G และ VoLTE ในประเทศไทยได้ แต่ eSIM เปิดใช้งานได้ตามปกติ

เทียบสเปค Google Pixel 7 และ Pixel 7 Pro ราคาห่างกันเป็นหมื่น มีอะไรต่างกันบ้าง