OPPO พร้อมกลับมาสู่ยุคแห่งการนำนวัตกรรมมานำเสนอสู่วงการมือถืออีกครั้ง หลังจากห่างหายไปนานถึง 4 ปี และ OPPO Find X ก็มาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ ทั้งความโดดเด่นในเรื่องการออกแบบตัวเครื่อง ดีไซน์ที่สวยงามลงตัว และกลไลในการซ่อนกล้องเอาไว้ในตัวเครื่องแล้วค่อยเลื่อนออกมานั้นมันคือการโชว์ความคิดสร้างสรรค์โดยแท้ งานนี้ droidsans ก็เลยขอมาบอกเล่าประสบการณ์แรกสัมผัสกับมือถือรุ่นนี้ให้ได้อ่านไปพร้อมๆ กัน
ตั้งแต่เห็นเครื่องตั้งอยู่บนแท่นวางก็เหมือนโดนสะกดสายตาเอาไว้เรียบร้อย เพราะพื้นที่หน้าจอที่เกือบจะติดขอบทั้ง 4 ด้าน ขอบที่บางเฉียบ ไม่มีติ่งๆ แท่งๆ ยื่นๆ เข้ามารบกวนสายตาให้ต้องรู้สึกแปลกๆ ถึงแม้ว่าในตอนนี้หลายๆ รุ่นจะมีให้เห็นจนชินตากันไปแล้วก็ตาม แต่พอได้มาเห็นความเรียบแบบนี้อีกครั้งมันก็รู้สึกดีกว่าจริงๆ
หน้าจอ Dual Edge โค้งลงทั้ง 2 ข้างนั้นเพิ่มความหรูให้กับ Find X จริงจัง ทำให้มันดูพรีเมี่ยมและสวยงามขึ้นไปอีก เพราะมันไม่ใช่โค้งแค่ด้านหน้า แต่รวมไปถึงด้านหลังทำให้เวลาถือเครื่องอยู่ในมือแล้วมันโค้งรับกับการจับได้พอดีมาก
กระจก 3D Curved ด้านหลังไม่ได้ออกแบบมาเพื่อดีไซน์เท่านั้น แต่ยังแฝงเรื่องของการทำสีให้ดูมีมิติและลึกลับน่าค้นหา
ทั้งสีน้ำเงิน Glacier Blue และ แดง Bordeaux Red นั้นจะถูกซ่อนเอาไว้ รอให้แสงมาตกกระทบจึงจะเผยออกมา
พอร์ทและช่องต่างๆ นั้นถูกจับรวมมาไว้ที่ด้านล่างทั้งหมด ทั้งลำโพง ไมโครโฟน ช่อง USB C และถาดซิม แน่นอนว่าสิ่งที่หายไปคือช่องหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร
ปุ่มปรับเสียงเรียงตัวอยู๋ที่ด้านซ้าย ส่วนด้านขวานั้นเป็นปุ่มพาวเวอร์เปิด/ปิดเครื่อง ส่วนขีดด้านบนที่เห็นนั่นคือช่วงต่อกันของกล้องสไลด์นั่นเอง
ระบบทำงานของกล้องนั้น มันจะถูกเลื่อนขึ้นมาเมื่อมีการเรียกใช้งานกล้องทุกครั้ง และจะเลื่อนกลับลงไปเมื่อใช้งานเสร็จแล้ว และสังเกตุได้ว่าช่องลำโพงสนทนานั้นก็ถูกวางไว้ตรงนั้นด้วย ซึ่งตอนที่ลองเล่นนั้นไม่สามารถทดลองโทรเข้าออกได้ เพราะเครื่องในงานไม่มีซิมเสียบเอาไว้ เลยไม่แน่ใจว่าเวลาโทรเข้าออกนั้น ส่วนของกล้องต้องเลื่อนขึ้นมาด้วยทุกครั้งหรือไม่
กล้องหน้ายืดหดนี่ ถูกนำมาใช้กับการสแกนใบหน้าด้วย เพราะฉะนั้นเวลายกเครื่องขึ้นมาเพื่อปลดล็อคหน้าจอ กล้องก็จะเด้งขึ้นมาทันที จากที่ทดสอบแล้วกระบวนการปลดล็อคนั้นเร็วมากๆ คาดว่าไม่ถึง 0.5 วินาที แต่ต้องบวกเวลากล้องเลื่อนขึ้นมาอีกนิดนึง รวมกันแล้วคือไม่เกิน 1 วินาทีครับ
ด้วยการที่มีเซนเซอร์อินฟราเรดเล็งมาที่ใบหน้ากว่า 15,000 จุด เพื่อใช้ในการทำ 3D Mapping หน้าเราสำหรับการปลดล็อคเครื่อง เซนเซอร์นี้ก็สามารถนำมาใช้ในการสแกนใบหน้าของเราเพื่อเพิ่มความดีงามในการใช้โหมดบิวตี้ได้อีกต่อนึง เรียกว่า 3D Beautifying
และอีกฟีเจอร์นึงก็คือการปรับแสงหรือ Portrait Lighting ที่มีให้เลือกเยอะกว่าเดิมจาก F7 และ R15 Pro
ส่วนกล้องหลังคู่นั้น ก็จะเด้งขึ้นมาพร้อมกับกล้องหน้านี่แหละ ซึ่งจากที่ลองก็พบว่ามีการปรับ UI ใน Color OS เวอร์ชั่นนี้นิดหน่อย โดยย้ายเอาโหมดกล้องต่างๆ ไปไว้ด้านล่างปุ่มชัตเตอร์ แต่หน้าตาโดยรวมก็ยังคล้ายเดิม
โหมด AR Sticker นั้นนอกจากลวดลายน่ารักๆ หลายๆ แบบ มีทั้งเฉพาะสติ๊กเกอร์ หรือแบบที่เปลี่ยนทั้งซีนเลยก็มี และฟีเจอร์ใหม่ที่เพิ่มเข้ามาคือ Omoji ที่ใช้หน้าตัวละครแบบ 3D มาขยับตามใบหน้าของเรา
โหมดวิดีโอก็เหมือนจะยังปรับค่าอะไรไม่ได้มาก มีแค่ระดับความละเอียดจาก 720p, 1080p และ 4K
ตอนแรกคิดว่าน่าจะมีโหดมเฟรมเรทสูงระดับ 60fps เข้ามาด้วย แต่ดูเหมือนจะยังไม่มี เพราะหาที่ปรับตั้งค่าไม่เจอ นอกจากนั้นโหมดสโลโมชั่นก็ยังไม่มีลูกเล่นอะไรเท่าไหร่
แต่จากที่สอบถามกับทางเจ้าหน้าที่ของ OPPO แล้ว เค้าก็บอกว่า Software ในตอนนี้ยังเป็นแค่รุ่นทดสอบเท่านั้น ยังไม่สมบูรณ์ 100% (น่าจะจริง เพราะผมลองเปลี่ยน UI เป็นภาษาไทย มันก็ยังเป็นภาษาอังกฤษอยู่เลย) เพราะฉะนั้นหลายๆ อย่างอาจจะยังไม่สมบูรณ์ครับ
พอบอกมาแบบนี้ ผมก็เลยยังไม่ได้ทดลองอะไรมากเท่าไหร่ แต่จริงๆ คือเวลาที่ให้ทดลองเล่นเครื่องหมดลงแล้วครับ ฮ่าๆ หลังงานเปิดตัวจบลง มีเวลาให้ได้ทดลองเล่น ถ่ายรูป ถ่ายคลิป รวมคร่าวๆ ประมาณ 40 นาทีเท่านั้นเอง ก็เลยลองอะไรไม่ได้มาก ซึ่งรายละเอียดบางส่วนก็อยู่ในคลิปด้านล่างนี้เลย
จากกำหนดการวางจำหน่ายคร่าวๆ ที่บอกว่าเป็นช่วงเดือนสิงหาคมนั้นเป็นกำหนดการของยุโรป ยังไม่แน่ใจว่ากำหนดการในแถบเอเชียจะพร้อมกันเลยหรือไม่ ส่วนเรื่องราคานั้นก็คาดว่าน่าจะแตะ 3 หมื่นบาทได้เหมือนกัน แต่ก็แอบหวังเล็กๆ ว่าจะมีรุ่นประหยัดที่ความจุ 128GB ตามออกมาแล้วราคาสัก 2 หมื่นปลายๆ หรือไม่ เพราะเครื่องที่ลองในงานทั้งหมดเป็นรุ่นความจุ 128GB ครับ ยังไงคงต้องรอความแน่ชัดจากทาง OPPO อีกที
มองผ่านๆขอบจอบนล่างก็บางกว่า samsung ไม่มาก แต่การดูแลรักษาการใช้งานต่างๆมองเหมือนจะยากกว่า samsung เยอะ
ไม่ใช่ละครับ ไอ้ที่คุณบอกว่าหนาคือตอนสไลด์กล้องขึ้นมาแล้ว ตอนปิดกล้องนี่มัน X แบบไม่มี notch ชัดๆ ขอบโคตรบาง ต่างกันเป็น 10% เลยนะครับ
จากคนใช้ S9+
กล้องป๊อบอัพ ดีตรงถ้ามี app ไหนแอบใช้กล้องจะรู้ตัวทันที 5555 แจ่มๆ
แต่พวกชอบแอบถ่ายคนอื่นก็จะรู้เหมือนกัน 5555
แบบนี้คงหาเคสยากแน่เลย
สงสัยครับว่าทาง oppo จะจัดการ ฝุ่นทรายเข้าไปช่องว่างยังไง มือถือไสลด์สมัยก่อนเป็นรอยเส้นๆ เวลาใช้ไปนานๆ แล้วยิ่งเป็นเลนส์กล้องด้วยครับ
มันเป็นภาระหน้าที่ของคนซื้อที่ต้องดูแลรักษากันเองมาแต่ไหนแต่ไรแล้วครับ
ถึงคุณดูแล มันก็มีฝุ่นเข้าไปอยู่ดีแหละ จะมาโยนให้คนใช้อย่างเดียวก็ไม่ถูก
เรื่องเสริม:
เออเรื่อง มือถือเลื่อนได้ ผมมี โมโต ดรอย อยู่ตัวนึง ใช้ได้ครบปี สายแพ ก็พัง
เลยเอา ไปซ่อน หมดประกัน ค่าซ่อนน่าจะ พันแปด เอามาใช้อีก สองเดือนไม่เกิน ก็สายแพพังอีก
พวกมือถือ ที่มีชิ้นส่วนเคลื่อนไหว นี่ต้องระวังพอควรเลยครบ เพราะมันพังง่ายกว่า มือถือทั่วไป
ถ้ายังไม่ซื้อก็เป็นภาระหน้าที่ของคนขาย Oppo จะต้องตอบ
ถ้าซื้อมาแล้วก็เป็นภาระหน้าที่ของคนซื้อที่จะต้องดูแลเองนั่นแหละครับ
ไม่ต้องมีเรื่องเสริมสายแพมาครับ มันไม่ใช่ประเด็นเลยเพราะตัวนี้กลไกมันไม่ใช่สไลด์พับสายแพมันเป็นมอเตอร์ครับ ดูดีๆตอนเปิดตัวมันจะมันจะมีคล้ายๆสายพาน พอมอเตอร์หมุนสายพานทำงาน กล้องยกครับ เรื่องพวกสายแพขาดนี่ไม่เกึ่ยวไรเลยจริงๆ
ให้เทียบเรื่องชิ้นส่วนเคลื่อนไหว ผมชอบ vivo nex มากกว่าเพราะชิ้นส่วนกล้องเคลื่อนไหวน้อยกว่า น่าจะพังยากกว่า แต่ก็ไม่แน่ find x ถึงจะขึ้นลง ทั้งแผง แต่อาจทนทานกว่า
แต่ขอบล่าง ยกให้ find x เหนือกว่า vivo nex เพราะบางกว่ามาก
ว้าวนะ แต่ใช้งานจริงติ่งยังคงสะดวกกว่า ทั้งความทนทานกลไก รอยขูดคนใช้มือถือสไลด์รู้ดีเอาไปหัวหินกลับมาเป็นเส้นเลย และความไว
ถ้าเอาสวยนี่ Find x กินขาด ถ้าเอาใช้งานจริงนี่ Vivo nex น่าจะดีกว่า