ตอนนี้ทุกสิ่งอย่างย้ายมาอยู่บนมือถือไปหมด โดยเฉพาะสายเอนเตอร์เทน ทั้งใช้ดูหนัง ดูซีรีส์ ฟังเพลงออนไลน์สารพัด ซึ่งการใช้งานพวกนั้นมันก็ต้องใช้เน็ตมือถือล้วนๆ บางคนแพ็คเน็ตมีจำกัด ก็ต้องมานั่งกังวลกันอีกว่าดูซีรีส์แค่ 2-3 ตอนมันจะทำให้เราติด FUP จนเน็ตอืดไปทั้งเดือนเลยหรือไม่ วันนี้เราก็เลยขอแชร์ข้อมูลคร่าวๆ ของการใช้งาน Data ต่อการดูหนัง + ฟังเพลง ใน 1 ชม. ของแต่ละแอป ว่ามันจะสูบเน็ตมือถือของเราไปเท่าไหร่
ถึงแม้ว่าทุกวันนี้เน็ตมือถือทั้ง 3G/4G จะเริ่มมีราคาที่ถูกลงเยอะแล้ว แต่การใช้งานเน็ตแบบเต็มสปีด ไม่จำกัด Data ก็ยังคงมีค่าบริการรายเดือนที่ค่อนข้างแพงอยู่ดี หลายๆ คนก็เลยเลือกใช้เน็ตมือถือเดือนละ 2GB – 10GB ประมาณนี้แหละ ซึ่งจริงๆ แล้วการใช้งานทั่วไปในแต่ละวันก็ถือว่าเหลือเฟือเลยล่ะ แต่ถ้าหากว่าเราจะเอามาใช้ในการดูหนัง ดูซีรีส์ หรือแม้แต่ฟังเพลงออนไลน์เนี่ย บางคนก็ดูกันเพลินจนลืมตัวใช้เน็ตหมดเกลี้ยงไปเป็น 10GB ก็มีให้เห็นกันบ่อยๆ ซึ่งการฟังเพลง+ดูหนังเนี่ย มันก็มีให้เลือกคุณภาพไฟล์แตกต่างกันออกไปอีกด้วยนะ
ฟังเพลงออนไลน์
แอปฟังเพลงออนไลน์ส่วนมากจะมีตัวเลือกคุณภาพของเสียงมาด้วย แน่นอนว่าถ้าไฟล์เสียงระดับยิ่งสูงก็จะยิ่งมีขนาดใหญ่และกิน Data มากกว่าไฟล์เสียงระดับที่ต่ำลงไป โดยคิดคร่าวๆ ออกมาได้ดังนี้
- เพลงคุณภาพเสียงต่ำ 96kbps ใช้ data ประมาณ 0.72 MB ต่อนาที หรือ 43.2MB ต่อชั่วโมง
- เพลงคุณภาพเสียงปานกลาง 160kbps ใช้ data ประมาณ 1.20 MB ต่อนาที หรือ 72MB ต่อชั่วโมง
- เพลงคุณภาพเสียงสูง 320kbps ใช้ data ประมาณ 2.40 MB ต่อนาที หรือ 115.2MB ต่อชั่วโมง
สำหรับคุณภาพเสียงที่ยกตัวอย่างให้ดู ไม่ใช่ว่าทุกบริการเพลงออนไลน์จะใช้คุณภาพเสียงแบบ 96/160/320kbps ทั้งหมด แต่บริการส่วนมากรวมทั้ง Spotify และ Google Play Music จะใช้คุณภาพเสียง 3 ระดับนี้แหละ ข้อแนะนำก็คือก่อนการเดินทางควรดาวน์โหลดเพลงที่เราต้องการมาไว้ในตัวเครื่องด้วย WiFi ซะก่อน (แต่ส่วนมากจะต้องสมัครแบบ Premium ก่อนถึงจะดาวน์โหลดได้) จะได้ไม่ต้องเสีย data ดาวน์โหลดเพลงระหว่างทาง หรือถ้าใครใช้เน็ตแบบ Unlimited ที่มีความเร็วไม่สูงมากก็สามารถใช้ได้แบบไม่มีปัญหา เพราะการฟังเพลงในระดับคุณภาพสูงไม่จำเป็นต้องใช้เน็ตที่เร็วมากอยู่แล้ว
ดูวิดีโอออนไลน์
การดูวิดีโอออนไลน์จะใช้ data มากกว่าการฟังเพลงออนไลน์อยู่แล้ว เนื่องจากมันมีทั้งภาพและเสียงนั่นเอง แถมยังต้องมีความเร็วเน็ตพอสมควรอีกด้วย หากต้องการดูวิดีโอที่มีความคมชัดสูงแบบลื่นไหลไม่กระตุกให้หงุดหงิด
ผู้ให้บริการดูหนัง+ซีรีส์ ในปัจจุบันก็มีหลากหลายค่ายอยู่ และจะมีหนังต่างๆ ให้เลือกดูตั้งแต่ความละเอียดต่ำ 240p – 320p ไปจนสูงสุดที่ระดับ 4K ก็มีให้ดูเช่นกัน
- วิดีโอความละเอียดต่ำ 240p – 320p ใช้ data ประมาณ 300MB ต่อชั่วโมง
- วิดีโอความละเอียดปานกลาง 480p ใช้ data ประมาณ 700MB ต่อชั่วโมง
- วิดีโอความละเอียด HD 720p ใช้ data ประมาณ 900MB ต่อชั่วโมง
- วิดีโอความละเอียด FHD 1080p ใช้ data ประมาณ 1.5GB ต่อชั่วโมง
- วิดีโอความละเอียด 2K ใช้ data ประมาณ 3GB ต่อชั่วโมง
- วิดีโอความละเอียด 4K ใช้ data ประมาณ 7.2GB ต่อชั่วโมง
การดูวิดีโอตั้งแต่ความละเอียดต่ำไปจนถึงระดับ FHD จากที่ลองมาแล้ว พบว่าเน็ตความเร็วแค่ 4Mbps ก็สามารถดูได้แบบลื่นๆ แต่ถ้าดูในระดับ 2K – 4K จะกระตุกมากจนดูไม่ได้เลยล่ะ และถ้าหากจะเอาเน็ตมือถือความเร็วสูงสุดที่มีให้ใช้แบบจำนวนจำกัดก็ไม่น่าจะคุ้มค่าแน่นอน
เน็ตมือถือแต่ละแพ็คเกจจะฟังเพลง / ดูหนัง ได้กี่ชั่วโมง?
และถ้าหากว่าเรามีแพ็คเกจเน็ตมือถือ 2GB, 5GB และ 10GB เราจะสามารถฟังเพลงและดูหนังคุณภาพระดับต่างๆ ได้กี่ชั่วโมงบ้าง ก่อนที่จะติด FUP ต้องกลับไปนั่งใช้เน็ตอืดๆ ต่อ
เน็ต 2GB
- ฟังเพลงคุณภาพต่ำได้ 47 ชม.
- ฟังเพลงคุณภาพปานกลางได้ 28 ชม.
- ฟังเพลงคุณภาพสูงได้ 17 ชม.
- ดูวิดีโอความละเอียดต่ำได้ 6.5 ชม.
- ดูวิดีโอความละเอียดปานกลางได้ 2.8 ชม.
- ดูวิดีโอ HD ได้ 2.2 ชม.
- ดูวิดีโอ FHD ได้ 1.3 ชม.
- ดูวิดีโอ 2K ได้ 0.6 ชม.
- ดูวิดีโอ 4K ได้ 0.25 ชม.
เน็ต 5GB
- ฟังเพลงคุณภาพต่ำได้ 117 ชม.
- ฟังเพลงคุณภาพปานกลางได้ 70 ชม.
- ฟังเพลงคุณภาพสูงได้ 42.5 ชม.
- ดูวิดีโอความละเอียดต่ำได้ 16.25 ชม.
- ดูวิดีโอความละเอียดปานกลางได้ 7 ชม.
- ดูวิดีโอ HD ได้ 5.5 ชม.
- ดูวิดีโอ FHD ได้ 3.25 ชม.
- ดูวิดีโอ 2K ได้ 1.5 ชม.
- ดูวิดีโอ 4K ได้ 0.6 ชม.
เน็ต 10GB
- ฟังเพลงคุณภาพต่ำได้ 234 ชม.
- ฟังเพลงคุณภาพปานกลางได้ 140 ชม.
- ฟังเพลงคุณภาพสูงได้ 85 ชม.
- ดูวิดีโอความละเอียดต่ำได้ 32.5 ชม.
- ดูวิดีโอความละเอียดปานกลางได้ 14 ชม.
- ดูวิดีโอ HD ได้ 11 ชม.
- ดูวิดีโอ FHD ได้ 6.5 ชม.
- ดูวิดีโอ 2K ได้ 3 ชม.
- ดูวิดีโอ 4K ได้ 1.2 ชม.
จะเห็นว่าการดูวิดีโอออนไลน์นั้นกิน data สุดๆ ไปเลย สำหรับแพ็คเกจเน็ต 2GB บางคนใช้งานทั่วไปอย่างเล่นเน็ต เล่นเกม เล่นโซเชียล ก็สามารถอยู่ได้ทั้งเดือน แต่ถ้าหากเอามาใช้ดูหนังหรือดูซีรีส์ที่ความละเอียดกลางๆ 480p ก็จะดูหนังได้ประมาณเรื่องกว่าๆ เท่านั้นเอง ยิ่งถ้าขยับไปดูความละเอียด 4K ดูได้ไม่ถึงครึ่งชม. เน็ตหมดซะแล้ว..
ก็สรุปได้เลยว่าการดูหนังออนไลน์จะเหมาะกับการใช้ WiFi ที่สุดแล้ว เพราะมันใช้ได้เรื่อยๆ ไม่จำกัด แถมยังกินแบตเตอรี่น้อยกว่าการใช้ 3G/4G อีกด้วย แต่ถ้าหากใครที่จำเป็นจริงๆ ต้องเดินทางนานๆ นั่งรถไฟหรือรถทัวร์พวกนี้ ก็อาจดาวน์โหลดไว้ก่อนออกเดินทาง เพราะแอปอย่าง Netflix หรือ Spotify นั้นเราสามารถโหลดเก็บลงบนเครื่องแบบ offline ได้ แต่ถ้าหากลืมโหลดไม่ทัน ก็แนะนำให้ใช้หาซื้อแพ็คเกจเสริม Unlimited ที่มีความเร็ว 4Mbps เป็นอย่างน้อยจะเหมาะที่สุดแล้ว เพราะมันดูหนังระดับ FHD ได้แบบไม่กระตุกนั่นเอง แต่ถ้าใครคิดจะใช้เน็ตเต็มสปีดเพื่อใช้ดูหนังดูซีรีส์ผ่าน Netflix ด้วยความละเอียด 2K HDR ล่ะก็.. แนะนำว่าอย่าเลย มันไม่คุ้มหรอก
ที่มา : Androidcentral
Comment