Widevine DRM หรือ Widevine Digital Right Management น่าจะเริ่มเป็นที่รู้จักกันมากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากที่มีการพบว่า Pocophone และมือถือจีนอีกหลายรุ่นหลายยี่ห้อ (vivo, OPPO, Xiaomi) ไม่สามารถดู Netflix ที่ความละเอียดสูงได้ เนื่องจากติด DRM ที่เป็นตัวป้องกันการละเมิดลิขสิทธิ์ ทำให้เกิดความหงุดหงิดสำหรับคนที่อยากดูหนังดูซีรีย์แบบเต็มความละเอียดพอสมควร วันนี้เลยจะมาอธิบายเพิ่มเติมอีกหน่อยถึง Widevide DRM และการได้สิทธิ์ L1 มาใช้งานนั้น ต้องเสียอะไรเท่าไหร่

เรื่อง Widevide DRM นี้พี่พัดได้มีการอธิบายแบบคร่าวๆไปแล้วรอบนึงนะครับ อันนี้จะมาลงลึกกันอีกหน่อยให้เข้าใจกันมากขึ้น ใครอยากอ่านโหมดที่ง่ายๆหน่อยแนะนำอ่านของพี่พัดนะ ส่วนบทความนี้จะมีความยากขึ้น ศัพท์เทคนิคมากขึ้นหน่อย โดยอ้างอิงรายละเอียดจากทาง Android Authority ที่เคยเขียนเรื่องนี้เอาไว้ตั้งแต่เมื่อคราว OnePlus 5T มีปัญหาเมื่อปลายปีที่ผ่านมานั่นเอง

Widevine ทำงานอย่างไร?

Widevine ได้ทำการปกป้องเนื้อหาที่ถูกสตรีมผ่านอินเทอร์เน็ตไปเล่นบนอุปกรณ์ต่างๆของผู้ใช้โดยใช้วิธีตามมาตรฐานของอุตสาหกรรมทั้ง CENC encryption, licensing key exchange และ adaptive streaming quality ซึ่งวิธีเหล่านี้ทำให้ผู้ให้บริการ เช่น Netflix, Amazon สามารถสตรีมข้อมูลภาพและเสียงความละเอียดสูงหรือต่ำโดยอ้างอิงจากระบบรักษาความปลอดภัยของเครื่องฝั่งรับได้ ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันการขโมยไฟล์จากเครื่องฝั่งรับ หากมีระดับความปลอดภัยไม่ถึงเกณฑ์ก็จะสามารถรับภาพที่ความละเอียดต่ำได้เท่านั้น โดยทาง Widevine จะแบ่งระดับความปลอดภัยออกเป็น 3 ระดับคือ L3, L2, และ L1​ และตัวที่ได้รับ L1 เท่านั้นถึงจะสามารถสตรีมวิดีโอความละเอียดสูงได้นั่นเอง

และเพื่อให้ได้ความปลอดภัยระดับ L1 เนื้อหาภาพและเสียงทั้งหมดจะต้องถูกประมวลผล เข้ารหัส และควบคุมภายใต้ TEE (Trusted Execution Environment) ของ processor หรือใช้ระดับฮาร์ดแวร์ในการประมวลผล เพื่อป้องกันการคัดลอกไฟล์เนื้อหา โดยชิปเซทที่ใช้ ARM Cortex-A (มือถือแทบทุกรุ่นในท้องตลาดในปัจจุบัน) จะมีการใช้ TrustZone เทคโนโลยีด้วยกันทั้งหมด แบ่งฮาร์ดแวร์ที่อนุญาตให้ OS ที่น่าเชื่อถือ (เช่น Android) สร้าง TEE สำหรับ DRM หรือแอปอื่นๆที่ต้องการความปลอดภัยได้

ส่วนระดับ L2 ต้องการเพียงการเข้ารหัสแต่การประมวลผล video ไม่จำเป็นต้องไปอยู่ภายใต้ TEE ซึ่งถ้ามีใครได้ระดับนี้ไปก็น่าจะไม่สามารถดูเนื้อหาที่ติด DRM ได้อยู่ดี

และระดับ L3 จะเป็นพวกอุปกรณ์ที่ไม่มี TEE หรือการประมวลผลวิดีโออยู่นอก TEE ไปเลยตามที่เห็นๆกันในมือถือจีนปัจจุบัน

ใครเอา Widevine ไปใช้ได้ และมีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่?

ปัจจุบันเราจะเห็นสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์และแท็บเลตรองรับ Widevine ที่ระดับ L1 และ L3 ซึ่งหลายคนก็สงสัยถึงเหตุผลว่าทำไมแบรนด์ต่างๆไม่ทำอุปกรณ์ของตนให้รองรับ Widevine L1 โดยคาดการณ์ว่าเป็นเรื่องของค่าใช้จ่ายที่ต้องเสียให้กับทาง Widevine แต่ตรงนี้ทาง Android Authority ได้หาข้อมูลมาแลบอกว่า Widevine ไม่ได้คิดค่าไลเซนส์ใดๆในการเอาเทคโนโลยีนี้ไปใช้ ขอเพียงแค่เอาเครื่องมาทำการตรวจสอบและเซ็นสัญญาข้อตกลงทางกฎหมาย เพิ่มไลบรารี่บางส่วนเข้าไปในเฟิร์มแวร์ และระบบตรวจสอบอื่นๆ แค่นี้ก็พร้อมที่จะเปิดสิทธิ์ให้สามารถใช้งานได้ทันที ซึ่งเค้าก็บอกว่าขั้นตอนไม่ได้ยุ่งยากอะไรมากมาย รวมถึงชิปเซตต่างๆของแอนดรอยด์ในปัจจุบันก็รองรับหมดแล้ว เหตุผลเดียวที่เครื่องหลายรุ่นไม่รองรับก็คือไม่ยอมส่งเข้าไปตรวจสอบแค่นั้นเอง โดยเหตุที่มือถือจีนเป็นหนักๆก็อาจจะเพราะ Netflix ไม่ได้เป็นที่นิยมเท่าไหร่นัก เลยไม่ได้ซีเรียสในการส่งเข้าไปตรวจสอบ ต่างจากอินเตอร์แบรนด์หลายยี่ห้อที่ทำมารองรับทั้งหมด แต่เมื่อไหร่แบรนด์ใดเริ่มจะบุกตลาดต่างประเทศจริงจัง เช่น Huawei และ OPPO ที่เริ่มลุยยุโรปแล้ว ก็จะเริ่มส่งเข้าไปตรวจสอบแล้วนั่นเอง

Widevine ไม่คิดค่า License ใครก็ขอใช้ได้ฟรี แค่ส่งเครื่องเข้าไปขอรับรองเท่านั้น

ก็หวังว่าบทความนี้น่าจะพอทำให้กระจ่างกันมากขึ้นถึงเหตุผล ที่มาที่ไปของการดู Netflix แล้วภาพไม่ละเอียดระดับ HD และ Widevine มีหน้าที่อะไรบ้าง ทำไมเราถึงต้องรู้จักมันนะครับ และหวังว่าสมาร์ทโฟนจากจีนในปีหน้าจะรองรับ Widevine นี้กันหมดเรียบร้อยครับ 🙂

 

ที่มาของข้อมูล Android Authority และ ARM