เคยไหม ? ซื้อมือถือมาแล้วแต่ไม่รู้จะหา “เคสมือถือ” ที่ไหนดี ปัญหาเหล่านี้บอกเลยว่าเรื่องน่าปวดหัวมากสำหรับคนซื้อมือถือรุ่นไม่เป็นที่นิยมนัก โดยเฉพาะเครื่องหิ้วนี่แทบไม่ต้องพูดถึง เดินห้างจะหาซื้อก็ยาก แบบที่ต้องการก็ไม่มี ซื้อร้านออนไลน์ในประเทศก็มีรุ่นของเราอย่างจำกัดเหลือเกิน วันนี้เราเลยจะมาแนะนำวิธีการซื้อผ่าน ebay และ Aliexpress แหล่งซื้อขายขนาดใหญ่พร้อมวิธีจ่ายเงินแบบประหยัด ๆ กัน
ซื้อผ่าน ebay
ebay คือ เว็บไซต์ ซื้อ-ขาย-ประมูล สินค้าต่างๆ จากทั่วโลก จริงๆ แล้วมีสินค้าแทบทุกชนิด แบบไม้จิ้มฟันยันเรือรบ ซึ่งถือเป็นเว็บขายของออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกก็ว่าได้
วิธีการซื้อของจาก ebay
- ก่อนอื่นต้องสมัครสมาชิก ebay ก่อน แล้วล็อคอินเข้าไปตามปกติ
- ในช่องค้นหาด้านบน พิมพ์ชื่อรุ่นมือที่เราต้องการ ต่อด้วยคำว่า Cover หรือ Case
- เลือก Buy It Now เพื่อคัดกรองตัดพวกสินค้าประมูลออกไป ดูได้จากรูปด้านล่าง
- ต่อมาเมื่อเราได้เคสที่ต้องการแล้วกดเข้าไป แล้วทำการ เลือกสี รุ่น จำนวน ในหน้านั้นให้ถูกต้องแล้วกด Buy It Now
- เลือกช่องทางที่เราต้องการจ่าย
- ในหน้า Ship to หรือที่อยู่จัดส่ง ต้องเป็นภาษาอังกฤษ
- จากนั้นกด Confirm and Pay เป็นอันเสร็จและรอสินค้ามาส่งที่บ้านได้เลย
* จ่ายเงินแบบไหนคุ้มค่าที่สุดดูข้างล่าง
ซื้อผ่าน Aliexpress
Aliexpress คือ ร้านค้าขนาดใหญ่ของประเทศจีนเครือ Alibaba ของแจ็คหม่า ที่เปิดโอกาสให้พ่อค้าแม่ค้าในจีนนำสินค้ามาขายส่งออกทั่วโลก ซึ่งสินค้าแต่ละอย่างมีราคาถูกมาก พ่อค้าแม่ค้าที่ไทยบ้านเราก็ชอบซื้อของจากที่มีมาขายกันนี่แหละ (เคสมือถือด้วย)
วิธีการซื้อของจาก Aliexpress
- สมัครสมาชิก Aliexpress ก่อนแล้วล็อคอินเข้าไป
- หาเคสมือถือ + พิมพ์ชื่อรุ่น ที่เราต้องการต่อด้วยคำว่า Cover หรือ Case
**พยายามเลือกร้านที่ขายไปแล้วหลายชิ้นและมี 4 ดาวขึ้นไป
- เมื่อเจอเคสที่ถูกใจแล้ว ก็เลือกรุ่น สี จำนวนชิ้น ให้ตรงกับที่เราต้องการ จากนั้น กดซื้อทันที
- พอไปหน้าชำระเงิน แนะนำให้จ่ายผ่านบัตรเครดิตหรือเดบิต ระบุเลขหน้าหลังให้ถูกต้อง
- ทางด้านขวาถ้าหากมีคูปองอย่าลืมกดใช้ได้ จากนั้นก็กด สั่งซื้อสินค้า เป็นอันเสร็จรอของมาส่งครับ
อย่างไรก็ตามสำหรับเว็บไซต์ ebay และ Aliexpress จะใช้ได้กับคนที่มีบัตรเครดิต, เดบิต หรือบัตรเติมเงินเท่านั้น
สำหรับคนที่ชอบของแบบกระจุ๊กกระจิ๊ก หาเคสและอุปกรณ์เสริมน่ารักๆ ก็จะมีของ G market ประเทศเกาหลีอีกอย่างนะครับ ลองไปดูกันได้
วิธีจ่ายเงินแบบไม่ต้องใช้บัตรเครดิตหรือ PayPal แถมถูกลงด้วยบัตรเติมเงิน
มาถึงตอนนี้หลายคนก็อาจจะสงสัยว่าถ้าเราไม่มีบัตรเครดิต หรือไม่มีบัญชี PayPal จะสามารถใช้งานทั้งสองเว็บนี้ได้อย่างไร หรือต่อให้มี ก็ไม่ค่อยอยากจะเสียเงินค่าความเสี่ยงของอัตราแลกเปลี่ยน และค่าธรรมเนียมอีก รวมแล้วหลายเปอร์เซ็นต์อยู่พอสมควร
สำหรับคนที่ชอบเดินทางท่องเที่ยวในช่วงนี้น่าจะพอได้เห็นข่าวบัตรสำหรับใช้จ่ายทั้งบัตรเติมเงิน หรือบัตรเดบิตที่มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อการท่องเที่ยวกันมาบ้างแล้ว ซึ่งจะมีจุดเด่น จุดด้อยที่แตกต่าง หรือใกล้เคียงกัน ปัจจุบันมีหลากหลายธนาคารที่ให้บริการแบบนี้อยู่ ซึ่งทางเราก็ขอแนะนำของ SCB มาฝาก ซึ่งบัตรนี้จะมีชื่อว่า “Planet SCB” ซึ่งเป็นบัตรที่มีจุดเด่นคือใช้จ่ายด้วยสกุลเงินต่างประเทศได้เรทที่ถูกมากเทียบเท่าร้านแลกเงินเลย ไม่ชาร์จค่าความเสี่ยง 2.5% ทุกสกุลเงินทั่วโลกด้วย คือ คุ้มทั้งใช้ช้อปออนไลน์จากเว็บนอก และรูดใช้จ่ายที่ต่างประเทศ แถมยังเป็นบัตร hybrid คือสามารถแลกเงินเก็บไว้ในบัตรก่อนได้ (หากวันไหนค่าเงินตกให้รีบแลกเก็บไว้ในบัตรก่อน) หรือสามารถใช้จ่ายรูดเลยโดยไม่ต้องแลกก็ได้ และดีงามมากเพราะใครๆก็สมัครได้ ไม่มีค่าธรรมเนียมรายปีด้วย สมัครได้แบบง่ายมากกกกกก ขอแค่มีบัญชีกับธนาคาร SCB อยู่ แค่กดผ่านแอปSCB EASY หรือคลิกที่นี่ https://link.scb/2kbvrLS ก็สามารถสมัครได้ แล้วบัตรก็จะส่งมาให้ถึงบ้านภายในไม่กี่วันทันทีเลย ไม่มีค่าจัดส่งใดๆ สามารถจับจ่ายใช้สอยได้โดยไม่ต้องมีค่าธรรมเนียมจุกจิกอะไรเพิ่มเติมเลย ซึ่งมันสามารถนำเอามาใช้ในการช้อปปิ้งออนไลน์นี้ได้เรทดีเว่อร์ด้วย!
ทำไมเราแนะนำใช้บัตร SCB
- สมัครง่าย ไม่มีค่าธรรมเนียม ส่งบัตรให้ฟรีถึงบ้าน
- มีกระเป๋าของบัตรแยกให้ ไม่ตัดเงินตรงจากบัญชี
- เรทดี แลกเงินเก็บเอาไว้ในบัตรก่อนรอซื้อวันหลังได้
- มีเงินให้เลือกหลายสกุลหลักยอดนิยมทั้ง Chinese Yuan, US Dollar, หรือ Korea Won
- รูดจ่ายไม่ต้องเสียค่าความเสี่ยงฯ 5% หรืออื่นๆ เพิ่ม
- ช้อปเสร็จก็สั่งปิดบัตรเพื่อความปลอดภัยได้เลย
เท่านี้ก็สามารถช้อปปิ้งออนไลน์ได้ประหยัดและปลอดภัยกว่าเดิม จากที่แต่ก่อนต้องจ่ายแพงกว่าปกติตั้งแต่ 2.5 – 6% เพราะบัตรเครดิตหรือ PayPal ทำเอาตอนแรกนึกว่าที่ซื้อมาราคาถูก แต่สุดท้ายกลับแพงไปทันตาเห็น และยิ่งกังวลเรื่องความปลอดภัยกลัวเงินจะโดนรูดเกิน ก็อาจทำให้เข็ดไม่อยากสั่งอีกเลยก็ได้
ทำไมไม่สั่งจากตลาดในประเทศ?
บางคนอาจจะสงสัยว่าทำไมถึงไม่ซื้อกับ Lazada หรือ Shopee หรือร้านอื่นๆ ในประเทศเอา ก็อย่างที่บอกไปข้างต้นว่าถ้าเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นที่ไม่ได้เป็นที่นิยมจะหาสินค้ายากหน่อย แต่บางรุ่นไม่ฮิตในเมืองไทย แต่ขายดีมากในต่างประเทศก็มี ซึ่งแน่นอนว่าเคสและอุปกรณ์เสริมที่ประเทศนั้นก็จะมีรองรับมากกว่า และจริงอยู่ว่าอาจจะมีร้านบางแห่งรับมาขายในไทยบ้าง แต่ก็จะมีราคาที่แพงกว่าและไม่หลากหลายเท่า จะมีข้อดีกว่าก็คือการจัดส่งรวดเร็วและเวลามีปัญหาเคลียร์ง่ายกว่าพวกเว็บนอกนั่นเอง
ไม่ใช่แค่ช้อปปิ้ง แต่ใช้จ่ายค่ารายเดือนบริการต่างๆก็ประหยัด
ในแต่ละเดือนเรามีสมัครบริการต่างๆเอาไว้ใช้งานกันมากน้อย แตกต่างกันไปในแต่ละคน ไม่ว่าจะเป็น Cloud Storage (Google Drive, OneDrive), Music Streaming (Spotify, Joox, Apple Music), Video Streaming (Netflix, iflix) ซึ่งต่างก็เป็นบริการต่างประเทศ บางคนอาจจะได้เรตเป็นเงินบาทเรียบร้อย แต่บางคนก็อาจจะได้เป็นเรตเงิน USD หรือสกุลอื่นๆต่างกันไป ซึ่งบัตรเดบิตเพื่อการท่องเที่ยว (Travel Card) อันนี้ก็สามารถใช้สำหรับสมัครบริการพวกนี้ได้เช่นเดียวกัน โดยช่วงนี้ที่ค่าเงินบาทแข็งโป๊ก เงินดอลล่าห์สหรัฐก็จะลงไปต่ำกว่า 30 บาท หรือเงินเยนจะต่ำกว่า 28 บาทอยู่วันนี้วันพรุ่ง การจ่ายเงินเป็นสกุลต่างประเทศก็อาจจะคุ้มค่าสำหรับชาวเรามากกว่าก็เป็นได้ครับ
ตัวอย่างราคาแพ็กเกจบริการออนไลน์เมื่อจ่ายเงินในสกุลที่ต่างกัน
ค่าเงิน USD = 30.3830 (ณ วันที่ 15 ต.ค. 2562)
ราคา USD / เดือน | คิดเป็นเงินไทย | ค่าบริการของไทย | |
Netflix Basic | $8.99 | 273.14 | 280 |
Netflix Standard | $12.99 | 394.66 | 350 |
Netflix Premium | $15.99 | 485.82 | 420 |
OneDrive 100GB | $1.99 | 60.46 | 70 |
OneDrive 200GB | $2.99 | 90.85 | 99 |
OneDrive 2TB | $9.99 | 303.53 | 350 |
Spotify Individual | $9.99 | 303.53 | 129 |
Spotify Premium | $14.99 | 455.44 | 199 |
Spotify Student | $4.99 | 151.61 | – |
*บางบริการอาจจะมีค่าบริการในประเทศไทยที่ถูกกว่า ซึ่งนั่นเป็นเพราะบริการนั้นๆมีการปรับราคาให้เหมาะสมกับผู้ใช้ประเทศเรานั่นเอง
ส่วนตัวทีมงานก็ซื้อของทั้ง ebay และ Aliexpress เป็นประจำก็แฮปปี้ดี โดยเน้นเลือกร้านที่มีรีวิวดี ขายของมาแล้วหลายร้อยหลายพันชิ้น (ถ้าเจอร้านที่เปิดใหม่ไม่ค่อยมีรีวิว แต่อยากได้ของเค้าจริง ๆ ก็สั่งได้นะ แต่ทำใจไว้ครึ่งนึงด้วยละกัน) เคยประสบปัญหาเรื่องส่งของช้าและไม่ตรงปกอยู่บ้างบางครั้ง แต่โดยมากหากสินค้ามีปัญหาจริงๆ เราก็สามารถทำเรื่องขอเงินคืนได้โดยการเปิดเคสร้องเรียนผ่านเว็บเพื่อพิสูจน์ความผิดกันต่อไป และหากพิสูจน์แล้วทางร้านผิดจริง และร้านมีเครดิตดี โดยมากก็จะคืนเงินให้ผู้ซื้อแบบแทบจะไม่มีเงื่อนไขเลย และไม่ค่อยจะเอาสินค้าตัวที่มีปัญหาคืนด้วย เพราะหลายครั้งค่าส่งกลับมันแพงกว่าตัวสินค้าซะอีก จะให้เราออกให้เราก็ไม่มีทางยอม ส่วนตัวเค้าก็ไม่มีทางมาเอาคืนเองอยู่แล้ว ซึ่งก็เท่ากับว่าเราได้สินค้าที่มีปัญหานั้น มาใช้แบบฟรีๆ (หรือกลายเป็นขยะซุกอยู่สักที่นึงในห้องไปแทน)
ดังนั้นเวลาซื้อของแล้วมีปัญหาส่งผิด ไม่ตรงปก หรือไม่ได้รับของ ไม่ว่าจะในไทยหรือต่างประเทศ “อย่าเพิกเฉย ต้องร้องเรียนทุกครั้ง” นะครับ
Comment