สมาร์ทโฟนเรือธงต้นปี 2021 เปิดตัวกันแทบจะครบหมดแล้ว ไม่ว่าจะ Galaxy S21 Ultra, OPPO Find X3 Pro และ OnePlus 9 Pro น้องใหม่เรือธงที่เพิ่งเปิดตัวไปหมาด ๆ เมื่อคืน วันนี้ทาง DroidSans ก็เลยนำเจ้ามือถือไฮเอนด์ทั้ง 3 รุ่น จับมาชนกับ iPhone 12 Pro Max ลูกรักของ Apple เทียบสเปคกันแบบตัวต่อตัว วัดกันไปเลยว่าในราคาค่าตัว 3 หมื่นบวก ๆ สมาร์ทโฟนรุ่นไหนจะคุ้มค่าคุ้มราคาที่สุด

หน้าจอแสดงผล

iPhone 12 Pro Max, Galaxy S21 Ultra, OPPO Find X3 Pro และ OnePlus 9 Pro ต่างมาพร้อมกับหน้าจอประเภท OLED ด้วยกันทั้งสิ้น โดยเรือธงจากฝั่ง Android จะใส่ค่ารีเฟรชเรทมาให้แบบจุก ๆ ที่ 120Hz ขณะที่ iPhone 12 Pro Max กลับให้มาเพียงแค่ 60Hz เท่านั้น

เรื่องความละเอียดของหน้าจอ ก็เหมือนจะเป็นอีกหนึ่งจุดด้อยของ iPhone 12 Pro Max เพราะ Apple ให้มาเพียงแค่ Full HD+ เท่านั้น ในส่วนของ Galaxy S21 Ultra, OPPO Find X3 Pro และ OnePlus 9 Pro ต่างให้มาที่ Quad HD+ ซึ่งเริ่มจะเข้ามาเป็นมาตรฐานของมือถือเรือธงสมัยนี้ไปแล้ว

สเปคของกระจกนิรภัยที่ครอบทับจอ OLED อีกที อันนี้ Galaxy S21 Ultra และ iPhone 12 Pro Max กินขาด เพราะได้ Gorilla Glass Victus ตัวล่าสุดและ Ceramic Shield มาช่วยปกป้องหน้าจอให้ทนต่อแรงขีดข่วนและแรงตกกระแทกกว่าเดิม เมื่อเทียบกับกระจกชนิดอื่น ๆ ทั่วไป ส่วน OPPO Find X3 Pro และ OnePlus 9 Pro สองพี่น้อง ยังคงใช้ Gorilla Glass รุ่นเก่าอยู่

หน้าจอ OLED ของฝั่งเรือธง Android จะมาเป็นแบบ LTPO ด้วยกันทั้งหมด กล่าวง่าย ๆ คือ ระบบจะคอยปรับรีเฟรชเรทให้อัตโนมัติอิงตามคอนเทนต์ที่เปิดใช้งานอยู่ ณ ตอนนั้น ๆ แต่ถ้าให้วัดกันจริง ๆ OnePlus 9 Pro จะมีสเปคยิบย่อยที่โหดที่สุด เพราะทางบริษัทเคลมว่ามือถือพวกเขาสามารถปรับรีเฟรชเรทลงไปได้ต่ำสุดที่ 1Hz เลยทีเดียว ต่างจากฝั่ง OPPO และ Samsung ที่ปรับลงได้ต่ำสุดที่ 5Hz และ 10Hz ตามลำดับ

Galaxy S21 Ultra, OPPO Find X3 Pro และ OnePlus 9 Pro รองรับการแสดงผลแบบ HDR10+ ทิ้ง iPhone 12 Pro Max ให้รองรับแค่ HDR10 อยู่รุ่นเดียว ซึ่งว่ากันตามตรง HDR10 ไม่ได้ถือว่าแย่นะ แต่แค่มันดีไม่เท่ากับ HDR10+ เท่านั้นเอง

ความแตกต่างระหว่างจอ HDR10 กับ HDR10+

ประสิทธิภาพความแรงตัวเครื่อง

สมาร์ทโฟนทั้ง 4 รุ่น ต่างขับเคลื่อนด้วยชิปเซ็ตตัวเรือธงสถาปัตยกรรมการผลิตขนาด 5 นาโนเมตรด้วยกันทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น Exynos 2100 ของ Galaxy S21 Ultra หรือ Snapdragon 888 ที่ OPPO Find X3 Pro และ OnePlus 9 Pro นำไปใช้ แต่ถ้าให้วัดกันที่แบบความแรงจริง ๆ ตรงนี้ Apple A14 Bionic บน iPhone 12 Pro Max กินขาดแบบไม่เห็นแม้กระทั้งฝุ่น

คือไม่ใช่ว่า Exynos 2100 และ Snapdragon 888 ไม่ดีนะ เพียงแต่ว่า A14 Bionic ของ Apple มันแรงกว่าเยอะมากจริง ๆ ถ้าจะให้เทียบแบบเห็นภาพ ก็เหมือนเอามหาเศรษฐีหลักพันล้านมาเทียบทรัพย์สินกัน คือแค่นี้ก็รวยมาก ๆ แล้ว แต่ว่า A14 Bionic กลับเป็นมหาเศรษฐีแสนล้าน – ล้านล้านนี่แหละ รวยกว่า แรงกว่า

ถ้าจะเอาไปเล่นเกมกราฟิกโหด ๆ อันนี้มั่นใจว่ารุ่นไหนใน 4 ตัวนี้ก็เอาไปเล่นได้แบบสบาย ๆ ไม่มีกระตุกแน่ ๆ ยิ่งการใช้งานทั่วไปไม่ต้องพูดถึงเลย หายห่วง และถ้าใครกังวลว่า Exynos 2100 แก้ปัญหาเรื่องความร้อนหรือยัง อันนี้จากประสบการณ์ที่ใช้ Galaxy S21+ มา ก็พบว่าเครื่องมันไม่ค่อยร้อนแล้วนะ ดีกว่าเดิมเยอะมาก ๆ อย่างไรก็ตาม การจัดการความร้อนบน A14 Bionic และ Snapdragon 888 ก็ยังดีกว่าอยู่ดี

น่าเสียดายมาก ๆ ที่ทั้ง iPhone 12 Pro Max, Galaxy S21 Ultra, OPPO Find X3 Pro และ OnePlus 9 Pro ไม่สามารถใส่ microSD Card เพิ่มหน่วยความจำได้ ขณะที่หน่วยความจำใช้เป็นตัวท็อปทั้งหมด UFS 3.1 ของฝั่ง Android และ NVMe ของ Apple

กล้องถ่ายรูป

ทั้ง iPhone 12 Pro Max, Galaxy S21 Ultra, OPPO Find X3 Pro และ OnePlus 9 Pro ต่างมากับกล้องหลัง 4 ตัวทั้งหมด โดยถ้ามองกันในแง่ของสเปคกระดาษ จะเห็นว่า Galaxy S21 Ultra กล้องจัดเต็มกว่าใครเพื่อนเลย ทั้งเซ็นเซอร์หลัก 108MP กล้อง Tele ซูมแบบ Optical ได้ 10x ส่วน iPhone 12 Pro Max ก็ไม่น้อยหน้า เพราะมีระบบกันสั่นแบบ Sensor-Shift ที่ประสิทธิภาพดีกว่าระบบกันสั่นแบบ OIS หรือ EIS อยู่หลายเท่าตัวเลย

ขณะที่ OPPO Find X3 Pro จะมากับเซ็นเซอร์หลัก 2 ตัว ความละเอียด 50MP ทั้งคู่ และรอบนี้มีไฮไลท์เด็ด ๆ ก็คือกล้อง Micro Lens กำลังขยาย 60 เท่า เรียกว่าเห็นกันรูขุมขนกันเลยทีเดียว

ส่วน OnePlus 9 Pro รอบนี้ก็เหมือนจะจัดเต็มเรื่องกล้อง หวังจะทำคุณภาพออกมาให้ทัดเทียมกับคู่แข่ง หลังไปจับมือกับ Hasselblad บริษัทกล้องสัญชาติสวีเดน ให้เข้ามาช่วยคาริเบรตสีให้สมจริงเหมือนกับตาเห็นที่สุด ใช้เซ็นเซอร์หลักสองตัวเหมือนกับฝั่ง OPPO Find X3 Pro

Galaxy S21 Ultra และ OnePlus 9 Pro สามารถถ่ายวิดีโอได้สูงสุดที่ความละเอียด 8K @30FPS ส่วน OPPO กับ Apple จะรองรับเพียงแค่ 4K @60FPS เท่านั้น ซึ่งในเคสของ Find X3 Pro ถือว่าแปลกมาก ๆ เพราะเซ็นเซอร์ก็ความละเอียดตั้ง 50MP แต่ดันถ่าย 8K ไม่ได้ซะงั้น

แบตเตอรี่

เรือธงจากฝั่ง Android มากับแบตเตอรี่ขนาดใหญ่จุก ๆ ด้วยทั้ง 3 รุ่น ไล่ตั้งแต่ OPPO Find X3 Pro และ OnePlus 9 Pro ที่มีแบตขนาด 4,500 มิลลิแอมป์มาให้ ส่วน Galaxy S21 Ultra เล่นใหญ่ อัดมาให้แบบเต็ม ๆ 5,000 มิลลิแอมป์ ขณะที่ iPhone 12 Pro Max นั้นให้แบตมาเพียงแค่ 3,687 มิลลิแอมป์เท่านั้น

แต่จะไปเปรียบเทียบแบตของ iPhone กับ Android รุ่นอื่น ๆ มันก็ดูจะไม่ค่อยแฟร์ซักเท่าไหร่ เพราะว่ากันตามตรงว่าระบบจัดการพลังงานของ iOS 14 และความเทพของ A14 Bionic นั้นเหนือกว่าระบบอื่น ๆ ไปอีกขั้น ทำให้ถึงเวลาใช้งานจริง ๆ iPhone 12 Pro Max แทบจะใช้งานได้ยาวพอ ๆ กับ (เผลอ ๆ นานกว่า) มือถือเรือธง Android ทั่วไปเลย

ระบบชาร์จไว

ส่วนเรื่องระบบชาร์จแบต อันนี้ต้องยอมฝั่ง OPPO และ OnePlus เขาจริง ๆ เพราะเรือธงของทั้งสอง มาพร้อมกับระบบชาร์จไวสุดแรง 65W ชาร์จแบตไม่ถึง 30 นาทีก็แบตเต็มแล้ว แถมยังมีหัวชาร์จมาให้เลยในกล่องไม่ต้องซื้อเพิ่มอีกต่างหาก

ขณะที่ Galaxy S21 Ultra และ iPhone 12 Pro Max จะรองรับชาร์จไวเพียงแค่ 25W และ 20W เท่านั้น…ยิ่งไปกว่านั้น มือถือจากทั้งสองค่ายก็ไม่มีหัวชาร์จแถมมาในกล่องอีกด้วย ต้องซื้อแยกทีหลัง

มาถึงเรื่องระบบชาร์จไวแบบไร้สาย หรือ Wireless Charging อันนี้ OnePlus 9 Pro ยืนหนึ่ง เพราะรองรับความเร็วถึง 50W (ไวกว่ามีสายของบางเจ้าด้านบนซะอีก) ส่วน OPPO Find X3 Pro, Galaxy S21 Ultra และ iPhone 12 Pro Max จะรับได้สูงสุดแค่ 30W และ 25W ตามลำดับ

มาตรฐานกันน้ำกันฝุ่น

แน่นอนว่าเรือธงทั้ง 4 รุ่น ต่างมากับมาตรฐานกันน้ำกันฝุ่น IP68 ทั้งหมด ก็คือจะสามารถเอาไปแช่น้ำจืดที่ความลึก 1.5 เมตรได้นาน 30 นาที …แต่ในส่วนนี้ IP68 ของ iPhone 12 Pro Max จะเหนือกว่า IP68 ทั่ว ๆ ไป เพราะจะสามารถไปแช่น้ำจืดได้ลึกถึง 6 เมตรในระยะเวลาเท่า ๆ กัน

ตารางเปรียบเทียบสเปค iPhone 12 Pro Max, Galaxy S21 Ultra, OPPO Find X3 Pro และ OnePlus 9 Pro

iPhone 12 Pro MaxGalaxy S21 UltraOPPO Find X3 ProOnePlus 9 Pro
หน้าจอSuper Retina XDRDynamic AMOLED 2XAMOLED
Fluid 2.0 AMOLED
ขนาด6.7 นิ้ว6.8 นิ้ว6.7 นิ้ว
ความละเอียดFull HD+Quad HD+
รีเฟรชเรท60Hz10 – 120Hz5 – 120Hz1 – 120Hz
ชิปเซ็ตA14 BionicExynos 2100
Snapdragon 888
RAM6GB12GB / 16GB8GB / 12GB8GB / 12GB
ความจุ128GB / 256GB / 512GB256GB128GB / 256GB
กล้องหลัง4 ตัว

Wide: 12MP f/1.6 dual pixel PDAF, Sensor-Shift

Ultra-Wide: 12MP f/2.4

Telephoto: 12MP f/2.2 PDAF, OIS, Optical Zoom 2.5x

ToF: 3D LiDAR

4 ตัว

Wide: 108MP f/1.8 PDAF, Laser AF, OIS

Ultra-Wide: 12MP f/2.2 dual pixel PDAF

Telephoto: 10MP f/2.4 dual pixel PDAF, OIS, Optical Zoom 3x

Periscope Telephoto: 10MP f/4.9 dual pixel PDAF, OIS, Optical Zoom 10x

4 ตัว

  • Wide: 50MP f/1.8 PDAF รอบทิศทาง, OIS
  • Ultra-Wide: 50MP f/2.2 PDAF รอบทิศทาง
  • Telephoto: 13MP Optical Zoom 2x PDAF
  • MicroLens: 3MP f/3.0
4 ตัว

Wide: 48MP f/1.8 PDAF รอบทิศทาง, Laser AF, OIS

Ultra-Wide: 50MP f/2.2

Telephoto: 8MP f/2.4 PDAF, OIS, Optical Zoom 3.3x

Mono: 2MP f/2.4

กล้องหน้า12MP f/2.240MP f/2.232MP f/2.416MP f/2.4
เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือไม่มี (ใช้ Face ID แทน)ใต้หน้าจอ (Ultrasonic)
ใต้หน้าจอ (Optical)
การเชื่อมต่อWi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac/6, dual-band, hotspotWi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac/6e, dual-band, Wi-Fi Direct, hotspotWi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac/6, dual-band, Wi-Fi Direct, hotspot
ลำโพงสเตอริโอ
มาตรฐานกันน้ำกันฝุ่นIP68
แบตเตอรี่3,687 mAh5,000 mAh4,500 mAh
ระบบชาร์จไว20W25W65W
ระบบชาร์จไร้สาย15W30W50W
ระบบปฏิบัติการiOS 14.4One UI 3.1ColorOS 11.2OxygenOS 11
ราคาเริ่มต้น39,900 บาท33,990 บาทยังไม่ประกาศ

 

สรุปซื้อรุ่นไหนคุ้มกว่ากัน?

รวม ๆ แล้ว ไม่ว่าจะเลือกซื้อรุ่นไหน ก็ถือว่าได้สเปคและฟีเจอร์มาแบบครบ ๆ เต็ม ๆ ไม่มีกั๊กเหมือนกันหมด เหมือนว่าแต่ละรุ่นจะมีจุดเด่นจุดด้อยที่แตกต่างกันออกไปซะมากกว่า ใครอยากได้ระบบลื่นไหลไม่มีบั๊คเยอะ อาจจะต้องมอง iPhone 12 Pro Max แต่ก็แลกมากับหน้าจอที่ไม่ได้ดีเด่นเท่ากับรุ่นอื่น ๆ

หรือใครอยากได้กล้องดี ๆ ก็อาจจะต้องหันไปหา Galaxy S21 Ultra แต่ก็ต้องใช้ชิป Exynos 2100 ที่ระบบจัดการความร้อนยังเป็นรอง Snapdragon 888 และ A14 Bionic อยู่ …(เว้นแต่จะไปหิ้วเครื่องนอกที่ใช้ Snapdragon 888 มาใช้)

ส่วน OPPO Find X3 Pro กับ OnePlus 9 Pro ก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจไม่น้อย โดยเฉพาะ OPPO เนื่องจากรอบนี้พวกเขาทำการบ้านมาดีมาก ๆ บวกกับระบบ ColorOS เวอร์ชั่นล่าสุดก็มีความเป็น Stock Android มากขึ้นกว่าเดิมเยอะมาก ขณะที่ OnePlus 9 Pro นี่ถือว่าดีมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว แถมครั้งนี้ได้ Hasselbald มาตีบวกเรื่องคุณภาพกล้องอีกต่าง