Microsoft เตรียมเอาระบบ AI ใส่ลงในแอปและโปรแกรมทำงานต่าง ๆ ด้วยการจับมือร่วมกับ OpenAI เจ้าของ ChatGPT ทำให้ในอนาคตเราอาจได้เห็น Word ที่มีฟีเจอร์ล้ำ พิมพ์แค่หัวข้อหรือระบุข้อมูลไป ตัวโปรแกรมก็จะไปหาข้อมูลและเรียบเรียงออกมาเป็นงานเขียนได้ หรือช่วยเขียนอีเมลส่งหาคนได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น งานนี้ Google มีหนาว!
แหล่งข่าวเผยกับ The Information ว่า Microsoft ต้องการใช้ตัว ChatGPT จาก OpenAI มาใส่ในบริการต่าง ๆ ทั้ง Bing, Word, Outlook, Powerpoint, และบริการอื่น ๆ ของบริษัท
ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่า ต่อจากนี้ไป เมื่อเราพิมพ์หัวข้อที่ต้องการใน Word แล้ว ตัวโปรแกรมก็จะรวมรวมข้อมูลและนำมาเขียนเรียงออกมาเป็นงานเขียนให้เลย หรือไม่ต้องคอยเสียเวลาหาคำมาเขียนอีเมล เพราะตัว Outlook รู้จักวิธีการเขียนและพร้อมเรียบเรียงเนื้อหาได้อย่างถูกต้องอยู่แล้ว
Google กลัว Microsoft และ ChatGPT ของ OpenAI
และอีกฟีเจอร์ที่น่ากลัวสำหรับคู่แข่งใหญ่อย่าง Google คงเป็นการเพิ่ม ChatGPT ให้กับ Bing เพราะจะเป็นการ Disrupt วงการ Search Engine ที่ต่อไปนี้จะมาลิสต์เว็บไซต์เวลากดค้นหาอย่างเดียวคงไม่เพียงพอแล้ว แต่ระบบต้องสามารถย่อยเนื้อหาสาระออกมาเป็นคำตอบด้วยภาษาที่เป็นธรรมชาติเหมือนมนุษย์ให้ได้
ข่าวนี้จึงเป็นเหมือนตอกเสายืนยันความน่ากลัวของ ChatGPT สำหรับ Google ที่พร้อมแข่งกับบริการค้นหาของกูเกิล และแอป Productivity ต่าง ๆ ที่มีอยู่ของบริษัท เพราะทาง Google เองก็ยังมีแอปทำงานอย่าง Docs, Slides, Gmail อยู่ด้วยเหมือนกัน
ถือว่ากระแสมาแรงอย่างต่อเนื่อง และทั่วโลกก็ต้องปรับตัวรับมือการมาเยือนของระบบ AI ให้ทัน เพราะจะส่งผลต่อหลายวงการเช่นเรื่องการศึกษา ที่ล่าสุดทางนิวยอร์คก็สั่งแบน ChatGPT ไปแล้วด้วยครับ
ที่มา : appleinsider
เพื่อมาดูดข้อมูลแล้วแข่งกับ Google
ข้อควรระวัง ChatGPT ตอนนี้คือความมั่วซัวของข้อมูลที่ถูกเรียบเรียงออกมาผ่านกระบวนการของ AI
ข้อมูลที่ค้นหาทั่วไปคงไม่เท่าไหร่ แต่พวกข้อมูลจำเพาะมีความมั่วสูงมาก
ผมว่ามันสะท้อนบางอย่างได้ดีนะ ถึงเราจะไปหาข้อมูลเอง แต่ปัจจุบันนี้ เราๆ ก็หาข้อมูลเอาในเนตนี่แหละ
ดูอย่างการตอบบางกระทู้ในเว็บต่างๆ มั่วบ้าง จริงบ้างบางทีก็แยกไม่ออก
ส่วนเว็บข้อมูล ถ้าไม่ใช่ official หรือจากผู้เชี่ยวชาญสาขานั้นจริงๆ ก็เห็นก๊อปๆ ต่อๆ กันวนไป
ChatGPT ก็ยังถือว่าเป็นขั้นต้นอยู่ ยังคงต้องพัฒนาต่อ
กว่าจะถึงขั้นพอใช้งานได้ ก็ต้องรอกันต่อไป
เหมือน google Translate ที่เปิดใช้แรกๆ แปลกได้แบบว่าส่ายหน้ามาก แต่พอช่วงหลังแปลรูปประโยคดูดีขึ้นเยอะ
อีกย่างท้ายสุดคนก็จะเป็นตัวกรองขั้นสุดท้ายอยู่ดี คุณภาพของคนก็จะเป็นตัวตัดสิน
ให้ Ai หารวบรวมข้อมูล แล้วคนก็จะกรองอีกที ถ้าคนมีคุณภาพหน่อยก็จะตรวจสอบที่มาอีกชั้น
แต่ถ้าคนไม่มีคุณภาพ Ai ประมวลเสร็จแบบไหนก็ส่งๆ ไปแบบนั้น =..=