ข่าวน่าสนใจในวงการ AI ที่เราอยากหยิบประเด็นมาเล่าให้ฟังกัน โดนตอนนี้ นักวิจัยชาวสิงคโปร์ได้ค้นพบว่า AI สามารถอ่านใจมนุษย์ได้แล้ว ด้วยการสแกนผ่าน MRI ถ้าใครอยากรู้ว่าจะน่าสนใจแค่ไหน ตามมาอ่านกันค่ะ

Play video

นักวิจัยชาวสิงคโปร์ได้สร้างระบบ AI system ที่สามารถวิเคราะห์รูปแบบคลื่นสมอง และสร้างภาพสิ่งที่บุคคลกำลังสังเกตได้

โดยเข้าควบคุมความคิดผ่านครื่องสแกนสมอง functional magnetic resonance imaging หรือ (fMRI) เนื่องจากการทดสอบนี้มีอาสาสมัครเข้าร่วมกว่า 58 คน ในขณะเดียวกันผู้เข้าร่วมทดสอบจะถูกติดเครื่องสแกนสมองให้แสดงรูปภาพต่าง ๆ ตั้งแต่ 1,200 ถึง 5,000 ภาพ ไม่ว่าจะเป็น รูปสัตว์, รูปอาหาร, รูปโครงสร้าง และการกระทำของมนุษย์ เป็นต้น ซึ่งแต่ละรูปแบบจะใช้เวลาเพียง 9 วินาทีเท่านั้น

AI อ่านใจถูกเรียกว่า Mindi-Viz สามารถตีความจากสิ่งที่คนเห็นตามการทำงานของสมอง เพื่อเชื่อมโยงการมองเห็นของมนุษย์กับคอมพิวเตอร์ผ่านทาง Brain-Computer Interface ถ้าให้เรียกง่าย ๆ คือ การถอดรหัสสิ่งเร้าที่เรามองเห็นจากการบันทึกของสมอง

MinD-Vis เข้าใจการทำงานของสมองเช่นเดียวกับ ChatGPT

Jiaxin Qing นักศึกษาและหนึ่งในนักวิจัยหลักจาก The Chinese University of Hong Kong (CUHK IE) กล่าวว่า “จริงๆ มันสามารถรับรู้การกระทำของจิตใจของคุณคล้ายกับ ChatGPT ที่เข้าใจภาษาธรรมชาติของมนุษย์ หลังจากนั้น MinD-Vis จะแปลงระบบที่เข้าใจการทำงานของสมองได้ เอาง่าย ๆ ก็เหมือน Stable Diffusion ที่สามารถสร้างภาพจากข้อความได้นั่นเองค่ะ

MinD-Vis สามารถสร้างภาพที่มีความน่าเชื่อถือสูงขึ้นมาใหม่พร้อมรายละเอียดที่ตรงกันทางความหมายจากการบันทึกในสมองโดยใช้คำอธิบายประกอบที่จับคู่จำนวนน้อยที่สุดโดยการเพิ่มการปรับสภาพสองครั้งให้กับแบบจำลองการแพร่กระจายแฝง

ที่สำคัญเทคโนโลยีนี้สามารถประยุกต์ช่วยเหลือผู้คนได้ในอนาคต ทั้งผู้ป่วยที่เคลื่อนไหวไม่ได้ ก็ให้เขาสามารถควบคุมผ่านหุ่นยนต์ หรือสื่อสารกับผู้อื่นราวกับใช้ความคิดแทนคำพูด และยังนำมาปรับใช้กับชุดหูฟัง VR ได้ เพื่อให้เราควบคุมการอยู่ใน metaverse ด้วยจิตใจแทนที่จะเป็นตัวควบคุมทางกายภาพ หรือท่าทาง

นี่ก็เป็นเรื่องแปลกใหม่ไม่น้อย ถ้า AI สามารถอ่านใจ และความคิดเราได้อาจจะเป็นดาบสองคม ต้องดูด้วยว่าเราใช้เพื่ออะไรในอนาคต แล้วมีประโยชน์มากน้อยแค่ไหน เพราะอีกไม่นานอะไรที่เราต่างเคยนึกถึงว่าปัญญาประดิษฐ์ที่มีในหนังไซไฟ คงใกล้เข้ามาทุกที ๆ แล้ว ก็แอบน่ากลัวอยู่เหมือนกัน

 

 

ที่มา : euronews