Omdia บริษัทวิจัยตลาดเปิดเผยข้อมูลว่า ท่ามกลางภาพรวมตลาดทีวีโลกที่ซบเซามาหลายปีจากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ทว่า ทีวี OLED กลับเติบโตอย่างต่อเนื่องอย่างสวนทางกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มทีวีระดับไฮเอนด์ (ราคาราว 5 หมื่นบาทขึ้นไป) จากเดิมมีส่วนแบ่ง 32.1% ในปี 2562 ในยุโรป ค่อย ๆ ไต่ระดับขึ้นมาจนมีแนวโน้มที่จะทำได้ 55.6% ภายในปีนี้ ในขณะที่ปีหน้าอาจพุ่งไปถึง 66.8%
ส่วนแบ่งการตลาดทีวีในยุโรปตามชนิดพาเนล (%)
2562 | 2563 | 2564 | 2565 | 2566 | |
ทีวี LCD | 67.9 | 57.7 | 52.3 | 44.4 | 32.2 |
ทีวี OLED | 32.1 | 42.3 | 47.7 | 56.6 | 66.8 |
.
ยอดขายทีวีในยุโรปคิดเป็นสัดส่วนราว 23% จากยอดขายทีวีทั่วโลก ถือเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในโลก เหนือสหรัฐฯ ที่มีสัดส่วน 22% เล็กน้อย และถ้านับเฉพาะทีวี OLED เพียงอย่างเดียว ยุโรปก็ยังมีอิทธิพลต่อตลาดมากที่สุดอีกเช่นกัน ด้วยสัดส่วน 44% สะท้อนให้เห็นว่าชาวยุโรปมีกำลังซื้อสูงกว่าคนในประเทศอื่น (เพราะทีวี OLED ยังมีราคาแพงอยู่มาก)
หากจำแนกเป็นแบรนด์ ผู้นำในตลาดทีวียุโรปคือ LG ที่ครองส่วนแบ่งมากถึง 2 ใน 3 อันดับรองลงมาคือ Sony และ Philips ตามลำดับ
- LG ส่วนแบ่งตลาด 65.8%
- Sony ส่วนแบ่งตลาด 17%
- Philips ส่วนแบ่งตลาด 11%
ปัจจุบันทีวี OLED เกือบทั้งหมดในตลาด ใช้พาเนลแบบ W-OLED และเกือบทั้งหมดของ W-OLED นั้นถูกผลิตโดย LG เพราะบริษัทสัญชาติเกาหลีใต้รายนี้ เป็นรายเดียวที่มีกำลังการผลิตสูงเพียงพอในระดับที่สามารถทั้งนำพาเนลมาใช้ได้เองและขายให้กับแบรนด์อื่นเอาไปทำต่อ
ส่วน Samsung ที่ได้ชื่อเป็นเบอร์หนึ่งของผู้ผลิต OLED ฝั่งมือถือ พึ่งตัดสินใจกลับเข้ามาลุยตลาดทีวี OLED อีกครั้งในปีนี้ หลังจากหายหน้าไปนานถึง 8 ปีกว่า แต่ยังไม่ได้เป็นการท้าชนกับ LG แบบตรง ๆ เพราะ Samsung เลือกโฟกัสไปที่พาเนล QD-OLED แทน ซึ่งเป็นเทคโนโลยีชั้นสูงกว่า และแน่นอน ราคาย่อมแพงกว่า จึงเป็นคนละเซกเมนต์กัน ยกตัวอย่างเช่น ทีวีในรุ่น S95B แค่โมเดลเริ่มต้นก็มีราคา 2,200 ดอลลาร์เข้าไปแล้ว
ที่มา : Omdia จาก ETNews
Comment