ใครที่เป็นสายดูหนังและซีรี่ส์ต่างๆ ผ่านบริการสตรีมมิ่งก็น่าจะรู้ว่าตอนนี้กำลังเกิดสงครคามขึ้นเบาๆ เมื่อ Netflix ผู้ให้บริการสตรีมมิ่งรายใหญ่ยักษ์กำลังเจอกับคู่แข่งรายใหม่ ที่กระโดดลงมาลุยในธุกิจนี้อย่าง Disney+ แค่ชื่อก็ไม่ต้องบอกเลยว่าเป็นใครมาจากไหน แถมตอนนี้ดิสนีย์นั้นไม่ได้มีแค่มิกกี้เมาส์กับผองเพื่อนบรรดาเจ้าหญิงทั้งหลายแล้ว แต่มีเหล่าฮีโร่จากจักรวาล Marvel และอัศวินเจไดจาก Star Wars เป็นกำลังที่แข็งแกร่ง ตีบวกด้วย Pixar เข้าไปอีก จนตอนนี้กลายเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวสุดๆ

วิธีสมัคร Disney+

น่าจะเป็นคำถามที่ใครหลายๆ คนถามเข้ามาว่าอยากจะสมัครเข้ามาชมหนังและซีรี่ส์ต่างๆ ในดิสนีย์พลัสนั้น ต้องทำยังไงบ้าง สำหรับในตอนนี้ยังสมัครไม่ได้นะครับ เพราะยังไม่มีการเปิดให้บริการในประเทศไทย ดูจากภาพแรกได้ว่ามันจะขึ้น error ว่าตอนนี้ยังไม่รองรับภูมิภาคแถบบ้านเรา

เพราะฉะนั้นในการทดสอบครั้งนี้ผมจึงได้ลอง VPN ไป เพื่อดูว่าจะสามารถสมัครใช้งานได้หรือไม่ ซึ่งก็ปรากฏว่าทำได้ โดยมีค่าบริการเดือนละ 6.99 เหรียญ และปีละ 69.99 เหรียญซึ่งถือว่าถูกกว่า Netflix พอสมควร โดยราคานี้นั้นสามารถรับชมความละเอียด UHD ได้เลย ผมเลยทดลองกดสมัครรายเดือน ที่ได้สิทธิ์ดูฟรี 7 วันไปก่อน

ค่าบริการของ Disney+

ในตอนนี้ยังไม่มีรายละเอียดว่าในประเทศไทยนั้นมี่ค่าบริการเท่าไหร่ แต่เหมือนมีข้อมูลจากในกลุ่มต่างๆ ทดลองเข้าไปใช่งานแล้วระบบมันแปลงเป็นราคาไทยออกมาที่เดือนละ 219 บาท และปีละ 2200 บาท ซึ่งยังไม่แน่ใจว่าจะเป็นราคาทางการของไทยเลยหรือเปล่า

สมัคร Disney+ แล้วดูได้กี่คน

ตามรายละเอียดของหน้าเวบไซต์นั้นระบุว่าสามารถเพิ่มสมาชิกได้อีก 7 คน พอมาบวกกับเจ้าของ ID อีกหนึ่งก็เท่ากับว่าสามารถมีสมาชิกได้ถึง 8 คน หรือตั้งราคาหาร 8 กันได้เลย

หน้าตาแอป Disney+

สำหรับ UI และการใช้งานนั้นไม่มีอะไรซับซ้อน เพาะเข้ามาหน้าโฮมก็จะแอบรู้สึกว่าตอนนี้เปิด Netflix อยู่หรือเปล่า เพราะมีความคล้ายกันแบบสุดๆ แต่ของดิสนีย์พลัสจะมีสตูดิโอค่ายต่างๆ ให้เลือกกดแยกไปรายชื่อหนังหรือซีรี่ส์ได้เลย โดยจะมีทั้งหมด 5 ค่าย

  • Disney
  • Pixar
  • Marvel
  • Starwars
  • National Geography

พอกดเข้าไปดูในแต่ละค่ายก็จะมีหน้าโฮมของใครของมัน พร้อมรายละเอียดว่ามีหนังอะไรเรื่องไหนอยู่บ้าง

ในหน้า search หรือค้นหาข้อมูลนั้นจะมีการทำพวก collection พิเศษ รวมเอาหนังตามธีมเข้าไว้ด้วยกัน อย่างเช่น Princess รวมหนังเจ้าหญิงดิสนีย์ หรือพลังด้านมืด Darth Vader อะไรแบบนั้น

หรือจะเป็นคอลเลคชั่นคลาสสิคของดิสนีย์ ย้อนไปตั้งแต่ยุคเริ่มต้นในปี 1920 ตั้งแต่มิกกี้เมาส์ยังขับเรือ ต่อด้วยโดนัลด์ ดั๊กส์ และชิปกับเดลในยุค 1950 ก่อนจะมาขายของในคลองบางกอกเมื่อตอนต้นปีนี้เอง

ส่วนของการรับชมนั้นก็มี่ตั้งแต่การดูผ่านอุปกรณ์ต่างๆ เช่นมือถือ แท็บเล็ต หรือจะแคสต์ขึ้นไปดูบนทีวีก็ได้ ตัวหนังมีรายละเอียดบอกหมดว่ามีความละเอียดระดับไหน UHD, HD และมีการแสดงผลแบบ HDR10 (เท่าที่ลองกดๆ ดู Star Wars บางภาคถูกจับมา Re-Master เป็น UHD และรองรับ HDR ด้วย) บางเรื่องเปิดให้สามารถโหลดเก็บมาดูบนอุปกรณ์ได้

การตั้งค่าทั่วไป

ระบบโปรไฟล์ของดิสนีย์พลัสนั้นคล้ายกับ Netflix อีกแล้ว สามารถเลือกหน้า avatar ต่างๆ ได้มากมาย สามารถกำหนดคุณภาพของไฟล์ที่ดาวน์โหลดได้ และเลือกไดว่าจะโหลดไปเก็บไว้ที่ไหน

มีหนังอะไรให้ดูบ้าง

ในตอนนี้จำนวนหนังยังถือว่าไม่เยอะมากเท่าไหร่ เพราะมีจากแค่ไม่กี่สตูดิโอเท่านั้น ที่เยอะสุดๆ ก็น่าจะเป็นพวกรายการของดิสนีย์ล้วนๆ ซึ่งผมเองก็ไม่แน่ใจว่าในบ้านเรามีฐานแฟนคลับมากน้อยแค่ไหน

รวมถึงพวกการ์ตูนเก่าๆ คลาสสิคของมิกกี้เมาส์และผองเพื่อนก็มีมาเพียบเลยทีเดียว เช่นเดียวกับฝั่งของ Marvel มีการ์ตูน Spiderman สมัยลายเส้นโบราณๆ มากับเค้าด้วย ส่วนหนังชุด Avenger และภาคแยกต่างๆ นั้นก็ยังมีไม่ครบ บางเรื่องยังติดสัญญากับ Netflix อยู่ เลยยังเอามาลงช่องตัวเองไม่ได้

Play video

Original Series จุดขายของ Disney+

จุดแข็งและจุดขายจริงๆ นั้นน่าจะเป็นการที่ทางดิสนีย์ประกาศจะสร้างซีรีส์ต่างๆ ของหนังในเครือออกมาให้เพียบ โดยเริ่มจาก Madalorian ที่เป็น side story ของ Star Wars โดยตอนนี้มีให้ดูแล้ว 1 ตอน . . . (เห็นว่าตอนใหม่ๆ จะมาทุกวันศุกร์)

ส่วนซีรี่ส์ของฝั่ง Marvel นั้นฮือฮามาก เพราะจะมีทั้งเรื่องราวของ Loki หรือคู่หูคู่ใหม่ Winter Soldier กับ Falcon และล่าสุดเห็นออกมาแถลงว่าหลังจากนี้ซีรี่ส์ของ Marvel ก้บหนังจะมีความเชื่อมโยงกันมากขึ้น พูดง่ายๆ ว่าถ้าไม่สมัครดิสนีย์พลัส ก็อาจจะพลาดอะไรเด็ดๆ ไปนั่นเอง

Play video

Disney+ เปิดให้บริการในไทยเมื่อไหร่

อันนี้ทางเราเองก็ยังไม่มีข้อมูลเหมือนกันครับ ถ้ารู้แล้วจะรีบมาบอกด่วนๆ แน่นอน

Play video

สรุปผลการใช้งานเบื้องต้น

เนื่องจากตอนนี้บริการของดิสนีย์พลัสยังไม่เปิดในไทย เพราะฉะนั้นยังไม่ต้องรีบไปสมัครกันก็ได้ นอกจากจะต้องต่อผ่าน VPN โหลดกันช้ามากมายแล้ว เรื่องของการรองรับภาษาไทยเองก็ยังไม่มีนะ พวกซับไตเติ้ลยังไม่มา แต่โดยรวมแล้วถือว่ามีความน่าสนใจกว่า Apple TV+ พอสมควร เพราะอย่างน้อยก็มีหนังให้ดูกันเพียบหลังจากจ่ายค่าสมาชิกแล้ว ไม่ใช่ต้องไปจ่ายเงินซื้อทีหลัง งานนี้คงต้องวัดกันไปยาวๆ ว่าสุดท้ายแล้วใครจะเป้นคู่แข่งของ Netflix ตัวจริง