การเปิดตัวของ Huawei Mate 9 ที่จัดเต็มมาพร้อมกัน 3 รุ่น และวางขายในเวลาไล่เลี่ยกันในบ้านเราน่าจะทำเอาใครหลายๆ คนเกิดอาการลังเลไม่รู้จะเลือกซื้อรุ่นไหนดี ถึงแม้จะได้อ่านเปรียบเทียบสเปคหาความแตกต่างแล้วบางทีมันก็ยังตัดสินใจยาก เพราะฉะนั้น วันนี้ droidsans เลยขอจัดรีวิวมันไปพร้อมๆ กันเลยทั้ง Mate 9, Mate 9 Pro และมีแถม Porsche Design Mate 9 มาให้เปรียบเทียบอีกนิดหน่อยเผื่อใครอยากได้ของหรูจากแบรนด์แฟชั่น

ด้วยพลังกล้องคู่ที่ไปร่วมมือกับ LEICA จนทำให้ Huawei P9 โด่งดังแบบที่ไม่เคยมีมือถือจาก Huawei รุ่นไหนทำได้มาก่อน ทำให้การมาของ Mate 9, Mate 9 Pro รวมไปถึง Porsche Design Mate 9 ซึ่งเป็นซีรี่ส์ท็อปสุดของค่าย ที่ได้พัฒนากล้องคู่ LEICA Gen 2 ขึ้นมาอีกครั้งนั้นดูมีความน่าสนใจมากขึ้นไปอีก เพราะแต่เดิมทีนั้น Mate ซีรี่ส์เน้นในเรื่องประสิทธิภาพ หน้าจอใหญ่ และแบตเตอรี่ใช้งานยาวนานเป็นหลักอยู่แล้ว การได้อัพเกรดกล้องถ่ายภาพในครั้งนี้ ทำให้ Mate 9 และ Mate 9 Pro เหมือนได้ติดอาวุธครบมือ แต่งานนี้จะเลือกรุ่นไหนดี มันต่างกันยังไง ความสงสัยของคุณจะถูกคลี่คลายลงในตอนนี้..

 

Huawei Mate 9

เริ่มจาก Huawei Mate 9 กันก่อนซึ่งเป็นรุ่นมาตรฐาน ลักษณะภายนอกโดยเฉพาะด้านหน้านั้นหากจะเทียนแล้วยังมีดีไซน์และความคล้ายกับ Mate 7 และ Mate 8 อยู่พอสมควร

แต่สิ่งที่แตกต่างไปเลยก็คือด้านหลัง ด้วยก้องคู่ LEICA Gen 2 ที่มาเสริมนั่นเอง ทำให้ด้านหลังของ Mate 9 แตกต่างจากรุ่นที่แล้วๆ มาอย่างเห็นได้ชัด ส่วนวัสดุตัวเครื่องที่เป็นโลหะซึ่งตอนนี้ในประเทศไทยเรามีวางจำหน่ายด้วยกัน 2 สี แล้ว ผิวสัมผัสยังแตกต่างกันด้วย โดยสีทองนั้นจะเป็นลวดลายโลหะขัดเคลือบเงาอีกทีทำให้ผิวดูมันขึ้นเงา และสะท้อนแสง เวลาจับจะรู้สึกหนืดๆ มือนิดหน่อย (อารมณ์เดียวกับ P9 / P9 Plus สีทอง)

แต่ถ้าเป็นสีน้ำตาล ผิวโลหะจะมาแนวทรายๆ กึ่งด้าน ไม่มีการเคลือบเงาเหมือนสีทอง (ส่วนตัวผมชอบผิวสัมผัสของสีน้ำตาลมากว่า)

 

Mate 9 Pro

เห็นครั้งแรกก็สะดุดตา เพราะมันมีการปรับดีไซน์ไปจากตระกูล Mate ที่ปกติจะหนาๆ เหลี่ยมๆ ใหญ่ๆ ดูผู้ชายๆ ถึกๆ ด้วยการใช้ขอบจอโค้ง 2 ข้างหน้าจอและตัวเครื่องที่ดูเพรียวสวยและดูแพงและมีความเป็นผู้หญิงเพิ่มมากขึ้น อารมณ์ “ดูรวมๆ แล้วมีสเน่ห์เหลือเกิน”

ส่วนด้านหลังของทั้งสีทองและสีเทาของ Mate 9 Pro นั้นเป็นลายโลหะขัดและเคลือบเงาทั้งคู่ เลือกสีไหนเวลาจับก็จะหนืดๆ เหมือนกัน (ฮือ T T อยากได้ผิวด้าน)

หลายๆ คนเห็น Mate 9 Pro แล้วก็คงอดนึกถึง Galaxy ไม่ได้ แต่ถึงแม้ว่าดีไซน์อาจจะมีความคล้าย Samsung อยู่บ้างที่ขอบข้างโค้ง แต่ถ้าได้ไปสัมผัสจริงๆ จะเห็นความต่าง ลองดูจากในภาพได้ครับ อันนี้คือเทียบกับ S6 edge+

จะเห็นว่าความโค้งข้างของ Mate 9 Pro นั้นจะลงกินกรอบข้างตัวเครื่องไปไม่เยอะ ซึ่งจะคล้ายๆ กับทาง Xiaomi ส่วนฝั่ง Samsung นั้นแทบจะกลืนกรอบตัวเครื่องไปเลย จนเหลือบางนิดเดียว

 

Porsche Design Mate 9

มาถึงรุ่นท็อปแบรนด์เนมกันบ้าง ซึ่ง Porsche Design นี้ขนาดดีไซน์และน้ำหนักมันคือ Mate 9 Pro เป๊ะๆ จะแตกต่างกันที่สเปคภายในนิดหน่อย และวัสดุภายนอกที่ดูดีกว่า 

ส่วนที่ชอบมากคือฝาหลังโลหะขัดลวดลายที่ไม่มีการเคลือบผิว จับแล้วให้ความรู้สึกดีมาก~ (กรุณาลากเสียงเหมือนตอนวูดดี้ขายกะทะ) 

 

กล่องและอุปกรณ์ภายใน

กล่องของ Huawei Mate 9 และ Mate 9 Pro นั้นมีขนาดใกล้เคียงกันครับ และของแถมภายในก็มีมาให้เท่าๆ กันด้วย เรียกว่า 2 รุ่นนี้ของแถมเท่ากัน

หูฟัง หม้อแปลงชาร์จเร็ว เคสพลาสติก ตัวแปลง micro USB เป็น Type C

ระบบชาร์จเร็วของ Mate 9 / Mate 9 Pro นั้นดุเดือดมาก เพราะมีการพัฒนาระบบการชาร์จและแบตเตอรี่ให้รองรับการชาร์จที่เร็วแบบสุดๆ จ่ายไฟที่ 5V 4.5A เล่นเอาแบตเตอรี่ 4000 mAh นี่จาก 0-100% ใช้เวลาไม่ถึง 90 นาที

ตัวเคสเป็นพลาสติก พร้อมลวดลายที่ด้านใน ล็อค 4 มุมจอ ในภาพอาจจะดูขาวๆ แต่ของจริงก็สีเข้มหน่อย ออกดำๆ น้ำตาลๆ

หน้าจอมีฟิล์มติดมาแล้วทั้ง Mate 9 และ Mate 9 Pro ถ้าไม่จำเป็นยังไม่ต้องลอกออก โดยเฉพาะ Mate 9 Pro นี่ลงขอบมาพอดิบพอดีเลย ลองดูเงาที่ขอบๆ ได้ อันนี้คือฟิล์มครับ

 

กล่อง Porsche Design

 

Porsche Design Mate 9 นี่แตกต่างไป เพราะมันคือรุ่นพรีเมี่ยม ด้วยค่าตัว 49,900 บาทก็จะได้ของเพิ่มมาเพียบเลย แถมกล่องก็ใหญ่หรูอลังการด้วย 

เห็นกล่อง Mate 9 / Mate 9 Pro ว่าดีใช้ได้แล้ว พอเจอกล่อง Porsche Design เข้าไปนี่ชิดซ้าย ทั้งความอลังการ วัสดุ และทุกสิ่งอย่าง

หม้อแปลงยังได้มา 2 อัน เผื่อเดินทางไปต่างประเทศ จริงๆ น่าจะมีที่ชาร์จในรถแถมมาให้ด้วยนะจะครบกว่านี้ (ไหนๆ ก็มีที่ชาร์จในรถแล้ว ก็แถมรถ Porshce อีกสักคันเลยก็น่าจะดี)

หูฟังมาในกล่องพลาสติกอย่างดี พันสายเก็บได้สวยงาม มีโลโก้ Porsche Design ด้วย (แต่ลองแกะออกมาแล้วก็เป็นหูฟังเแบบเดียวกับ Mate 9 / 9 Pro นะ)

มาพร้อมเคสหนังอย่างดี นุ่มมาก พร้อมหน้าจอด้านข้าง แต่ตอนที่ลองนี่เหมือนจะแตะได้บ้าง ไม่ได้บ้าง งงเหมือนกันว่าทำไม หรือ software ยังไม่สมบูรณ์ก็ไม่รู้ 

Play video

 

เทียบขนาดตัวเครื่อง รวมถึงการใช้งาน Mate 9 Mate 9 Pro และ Porsche Design

เนื่องจากสเปคของทั้ง 3 รุ่นต่างกันไม่มาก เลยขอมาเจาะเรื่องของขนาดตัวเครื่อง ดีไซน์ ความรู้สึกตอนจับถือใช้งานก่อน สำหรับ Huawei Mate 9 นั้นทรงของตัวเครื่องยังมาในรูปแบบเดิมๆ เหลี่ยมๆ จอใหญ่ ถึงแม้่ทาง Huawei บอกว่าจะลดขนาดของมันให้เล็กลงไปจาก Mate 8 ได้ แต่มันก็น้อยมากๆ จนตอนถือใช้งานไม่ได้รู้สึกแตกต่าง

ใครที่เคยถือ Mate 8 เปลี่ยนมาใช้ Mate 9 ก็บอกได้เลยว่าขนาดมันไม่ได้ต่างจากเดิมหรอก

ส่วนใครทีถือ P9 หรือ P9 Plus อยู่ อันนี้บอกเลยว่าต่างเยอะครับ ถ้าเป็นคนชอบขนาดที่เหมาะมือหน่อย ขนาดของ P9 นี่แหละกำลังดีมากๆ แต่ถ้าอยากจะเอาจอ ใหญ่ขึ้นมาหน่อยแต่ไม่แน่นมือจนเกินไปละก็ Mate 9 Pro เป็นตัวเลือกที่ดีกว่า Mate 9 ครับ 

ส่วนใครที่กังวลเรื่องขอบจอโค้งแล้วกลัวว่ามือหรือนิ้วเวลาจับแล้วจะไปแตะโดนขอบจอแบบไม่ได้ตั้งใจ แต่เท่าที่ได้ใช้มันก็ยังไม่โดน คือถือมือเดียวก็ไม่ต้องระวังมากนัก เพราะกรอบหรือตัวเฟรมนั้นก็หนาอยู่ แต่ถ้าพิมพ์มือเดียวนี่ถ้ามือเล็กหน่อยก็ยังยากอยู่ดี เพราะเอื้อมไม่ถึง แหะๆ 

ตำแหน่งการสแกนลายนิ้วมือของทั้ง 3 รุ่นนี้แตกต่างกัน โดยของ Mate 9 นั้นอยู่ด้านหลังอันนี้คุ้นชินกันดีเพราะทาง Huawei แทบทุกรุ่นรวมถึงมือถือ Android ทั้งหลายก็มักจะเอาไว้ด้านหลัง ปลดล็อคได้สบาย

แต่ Mate 9 Pro และ Porsche Design Mate 9 นั้นมีการสลับเอาสแกนลายนิ้วมือมาไว้ด้านหน้า ซึ่งมันไม่ใช่ปุ่มกดแบบของ Samsung นะครับ แต่เอาไว้แค่แตะเฉยๆ แค่แตะก็สแกนนิ้วและปลดล็อคได้แล้ว 

อีกส่วนนึงที่ทำให้การใช้งาน Mate 9 Pro แตกต่างไปคือมีปุ่มสัมผัสข้างๆ ปุ่มโฮม 2 ปุ่มซึ่งปกติแล้ว Huawei จะใช้ปุ่มบนหน้าจอมาแล้วหลายรุ่น อันนี้ก็อาจจะต้องปรับตัวกันนิดๆ แถมปุ่มข้างๆ มันยังสว่างไม่เท่ากันอีก คือทางซ้ายสว่างกว่าขวา อันนี้ลองแล้วเป็นเหมือนกันทั้ง Mate 9 Pro และ Porsche Design แอบเซ็งเบาๆ (ใครซื้อไปเจอเหมือนกันมาบอกด้วย)

 

หน้าจอการใช้งาน Emotion UI บน Android Nougat 7.0

Huawei Mate 9 นั้นมาพร้อม EMUI เวอร์ชั่นใหม่พร้อมกับการมาของ Android 7.0 Nougat ซึ่งในส่วนการใช้งานทั่วไป หน้าโฮม การตั้งค่าต่างๆ ไม่ได้แตกต่างไปจากรุ่นก่อนๆ อย่าง Mate 8 หรือ P9 มากนัก หากเราใช้หน้าจอหลักของ Huawei

 

แต่ในเวอร์ชั่นนี้เราสามารถเลือกสลับมาใช้ Launcher แบบของ Android ที่มี App drawer ได้ด้วย ซึ่งน่าจะถูกใจใครที่ชอบใช้ UI แนว pure android กันพอสมควร แต่ไม่ว่าจะเป็น Launcher แบบไหนก็ลื่นไหลทั้งคู่ อันนี้ไม่ติดปัญหาอะไร

ขนาดและรายละเอียดบนหน้าจอนั้นเราสามารถเลือกปรับได้ตั้งแต่ขนาดของ icon ต่างๆ รวมไปถึงตัวหนังสือ ซึ่งใครที่ชอบจอที่ดูละเอียดๆ เล็กๆ หรือใครอยากได้แบบใหญ่ๆ

อ่อ ในส่วนประสิทธืภาพและการใช้งาน เท่าที่ทดสอบออกมาทั้ง Mate 9 Pro และ Porsche Design ไม่ได้มีความแตกต่าง เพราะจากที่ลองทดสอบนั้นได้คะแนนพอๆ กัน เลย ณ จุดๆ นี้เลยขอเก็บ Porsche Design แยกออกไปก่อน (จับเล่นนานๆ แล้วมือสั่น ของมันแพง ขอแยกไปเก็บก่อนละกัน)

 

ฟีเจอร์พิเศษของ Mate 9 และ Mate 9 Pro

ใน Emotion UI เวอร์ชั่นใหม่ยังคงเก็บเอาฟีเจอร์ต่างๆ ของ Mate เอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นส่วนของ Gesture Control หรือ Knuckle geture ก็ยังอยู่ครบ ไม่ว่าจะเป็นการเคาะหน้าจอด้วยข้อนิ้ว 2 ครั้งเพื่อจับภาพ หรือเอาข้อนิ้วลากส่วนที่ต้องการจะจับภาพหน้าจอแล้วแชร์ให้เพื่อนง่ายๆ

นอกจากนั้นก็สามารถบันทึกวิดีโอหน้าจอได้ด้วยการใช้ข้อนิ้วคู่ รวมถึงเรียกแอปแบบด่วนๆ ด้วยการวาดตัวอักษร

ส่วนการแบ่งหน้าจอหรือ Split screen นั้นทาง Huawei เองก็จับไปรวมกับ Multi Windows ของ Android nougat เรียบร้อย .ซึ่งจะแบ่งหน้าจอแอปไหนได้บ้างนั้นก็อยู่ที่แอปไหนเขียนมารองรับบ้าง ซึ่งตอนนี้ก็มีเยอะขึ้นเรื่อยๆ แต่ส่วนมากพวกเกมนี่จะแบ่งหน้าจอไม่ได้

เรียกว่าดีกว่าตอน Mate 8 และ P9 ที่จะมีแค่แอพบางส่วนที่ระบบของ Huawei นั้นล็อคเอาไว้ แต่ใน Mate 9 นี่แทบจะแบ่งหน้าจอได้ทุกแอปเลย

สำหรับสแกนลายนิ้วมือนั้นนอกจากเอาไปปลดล็อคเครื่องแล้ว ยังสามารถเอาไว้ถูๆ เลื่อนดูภาพหรือหน้าเว็บได้ด้วยนะครับ ซึ่งถ้าเป็น Mate 9 นี่ใช้สะดวกดีเลย 

แต่พอมาเป็น Mate 9 Pro สแกนนิ้วมาอยู่ด้านหน้า เลยโดนตัดฟีเจอร์นี้ออกไป รวมถึงชัตเตอร์กล้องก็ไม่สามารถใช้แทนได้ เรียกว่าฟีเจอร์ของปุ่มสแกนนิ้วนั้น Mate 9 มีเยอะกว่า

App Twin หรือการโคลนแอปแยกร่างใช้งาน 2 แอคเคาท์นั้นก็มีมาให้ใน Mate 9 และ Mate 9 Pro แต่ก็ไม่ได้รองรับทุกแอป ถ้าอยากโคลนแอปได้มากกว่านี้อาจจะต้องใช้แอปอื่นมาช่วย อย่าง Go Multiple

ส่วนใครที่ติดปุ่มกลมๆ มาจาก iPhone หรือ iOS ก็สามารถเรียก Floating dock ออกมาใช้งานบนหน้าจอได้ครับ

 

ประสิทธิภาพและการเล่นเกม

สำหรับทั้ง 3 รุ่นนั้นใช้ชิป Kirin 960 ที่ทาง Huawei เคลมว่ามันแรงพร้อมจะไปซัดกับกลุ่ม Snapdragon หรือชิปรุ่นท็อปตัวอื่นๆ แล้ว โดยได้ชิปกราฟิค Mali G71 ใหม่เอี่ยมแกะกล่องจาก ARM มาใช้เป็นรายแรก ซึ่งจากผลการทดสอบ Benchmark ก็จะเห็นแล้วว่าสามารถทำคะแนนบน Antutu ได้ในระดับ 130,000-140,000 คะแนน จากการทดสอบในหลายๆ ครั้ง ซึ่งก็ถือว่าทำคะแนนได้ใกล้เคียงกับรุ่นเรือธงทั้งหลายแล้ว

จากการทดสอบเกมหลายๆ เกม ไม่ว่าจะกราฟิคหนักๆ ไม่ว่าจะเป็น CSR Racing 2

เกมยิงโหดๆ อย่าง Dead Trigger 2

หรือ Oceanhorn เกมภาพสวยงาม ที่ว่ากันว่ามันคล้ายกับเกมในตำนานอย่าง Zelda

และเกมที่ใช้เซนเซอร์เยอะๆ อย่าง Pokemon Go ก็ไม่เจอปัญหาใดๆ เลย สบายๆ

 

แบตเตอรี่และอายุการใช้งาน

Mate 9 และ Mate 9 Pro จัดแบตเตอรี่มาให้ 4000 มิลลิแอมป์ นั้นถือว่ามากจุใจ แต่จะอึดได้ถึง 2 วันจริงมั้ย ลองมาดูกัน

การทดสอบแรก อิงจากการใช้งานทั่วๆ ไปเปิดจอบ้าง เล่นเกมนิดหน่อย เน้น social กะเล่นเวบ คือประมาณอารมณ์ใช้งานทั่วๆ ไป เริ่มใส่ซิมตอน 9 โมงเช้า ยาวไปจน 1 ทุ่ม เหลือแบตประมาณ 60% คือถ้าใช้งานแบบนี้ 2 วันสบายๆ ได้ตามเคลม

 

การทดสอบที่สอง เน้นใช้ตะบี้ตะบัน ว่างไม่ได้เปิดเกม จับโปเกมอน เล่นมันทุกอย่าง อัดตั้งแต่ประมาณ 10 โมงเช้ายาวไปจนแบตจะหมดที่ราวๆ 5 ทุ่ม ซึ่งดูแล้ว Mate 9 สามารถเปิดหน้าจอใช้งานได้ราวๆ 7 – 8 ชั่วโมงต่อเนื่องกันก่อนแบตจะหมด ซึ่งตัวของ Mate 9 Pro เองนั้นจะโดน effect ของหน้าจอ 2K ไปนิดหน่อย เวลาของ screen on time ก็จะได้ราวๆ 7 ชั่วโมง ซึ่งถือว่าไม่ต่างกันมาก

ส่วนความเร็วในการชาร์จแบตนั้นปรู้ดปร้าดมากครับ อันนี้ทดสอบกับหม้อแปลงที่แถมมา เร็วขนาดแบตขนาด 4000 มิลลิแอมป์นี่ใช้เวลาแค่ชั่วโมงนิดๆ โดยชั่วโมงแรกนี่จะไวเทพมากได้ไปแล้ว 80% หลังจากนั้นก็จะเริ่มลดความเร็วลงมา โดยจะเต็ม 100% ก่อนชั่วโมงครึ่ง

 

กล้องถ่ายภาพ 

กล้องของ Mate 9 และ Mate 9 Pro รวมไปถึง Porsche Design มาพร้อมกับสเปคและฟีเจอร์เท่ากันครับ เพราะฉะนั้นในส่วนของกล้องนี่จะขอพูดรวมไปด้วยกันเลย

โหมดกล้องถ่ายภาพน้้นยังใช้ UI แบบเดียวกับ P9 ที่ได้ทาง LEICA มาช่วยออกแบบ ปัดไปด้านซ้ายจะเป็นโหมดกล้องทั้งหมดทั้งภาพขาวดำ Monochrome บิวตี้ HDR พาโนรามา การถ่ายวิดีโอ และ Food mode ส่วนด้านขวาเป็นการตั้งค่า เช่นพวกความละเอียด เสียงชัตเตอร์อะไรประมาณนั้น

โหมดการปรับสี รวมไปถึง Bokeh Effect หน้าชัดหลังเบลอนั้นอยู่ในหน้าจอหลักของโหมดกล้องครับ แตะเลือกเปิดปิดได้เลย

ส่วนกล้อง LEICA Gen 2 นี้ถ่ายออกมาแล้วเป็นอย่างไร มาดูได้กับตัวอย่างภาพในหลายๆ ซึนและหลายๆ สภาพแสงที่ได้ไปลองถ่ายมาให้ชมกัน

ตัวอย่างภาพ Landscape 

ในสภาพแสงปกติ ถ่ายวิวถ่าย ภาพทั่วๆ ไป ได้ความคมสีสันก็ตามแต่ใจชอบเลย เพราะเลือกปรับฟิล์มโหมดได้ 3 แบบ Vivid นี่ก็จัดจ้าน Smooth ก็เพิ่มความอิ่มเข้าไป ส่วนถ้าอยากได้ธรรมชาติก็ใช้สีปกติ

 

ตัวอย่างภาพแสงน้อยและตอนกลางคืน Low Light & Night Scene

เมื่อ Mate 9, Mate 9 Pro เจอสภาพแสงน้อยเข้าไป ถ้าไม่มืด หรือน้อยมากๆ นี่ยังทำได้ดีอยู่ครับ แต่ถ้าแทบจะมืดสนิทนี่จะเริ่มออกอาการละ เป็นจุดเดียวกับที่เจอเมื่อตอน P9 คือถ้าแสงน้อยมากๆ โหมด Auto นี่ยังไม่น่าประทับใจ แต่ถ้ามีขาตั้งแล้วไปใช้ Night Mode เปิดชัตเตอร์ให้นิดหน่อยนี่เทพ

 

ตัวอย่างภาพ มาโคร,อาหาร และละลายหลัง Macro Food & DOF

ส่วนภาพโคลสอัพระยะใกล้ Depth of Field รวมไปถึงภาพอาหารนี่ขอจับมารวมไว้ด้วยกัน White Balance ปรับมาดีเลย ถ้าไม่ได้เปิด Food Mode สีจะอ่อนหน่อย แต่ถ้าเปิดก็จะเดิมสีเหลืองเข้าไป เพื่อเพิ่มความน่ากิน (แต่ในบางภาพที่ลองถ่ายก็รู้สึกว่าเยอะจนเข้มไป) ส่วน Bokeh หน้าชัดหลังเบลอนี่ดีมาก นอกจากจะปรับให้เบลอแล้วยังมองเห็นไฟเป็นดวงๆ วงๆ ละลายได้สวยงามเลย

 

ส่วนการถ่ายภาพ Selfie เรื่องความคมชัดนี่กินมาก เพราะมี Auto Focus จะถ่ายใกล้ไกลหรือจะเอาขึ้นส่องสิวเลยก็ยังได้ เลือกปรับบิวตี้ได้ 10 ระดับ มีแฟลชหน้าจอช่วยในการเซลฟี่ นอกจากนั้นยังสามารถถ่ายวิดีโอแล้วเปิดบิวตี้ไปด้วยก็ได้

 

ตัวอย่างภาพ Selfie 

 

สรุปผลการใช้งาน Mate 9 และ Mate 9 Pro จะเลือกรุ่นไหนดี

Mate seires ถือเป็นเรือธงที่พัฒนาขึ้นมาเร็วมากๆ จนทำให้ Huawei เป็นอีกค่ายที่น่าจับตามอง และดูเหมือนว่าตั้งแต่ Huawei ได้ไปร่วมทำ Nexus 6P กับ Google นั้นเหมือนจะส่งผลดีกับสินค้าของตัวเองด้วย โดยเริ่มตั้งแต่ Mate 8 ที่พัฒนา UI และความลื่นไหลของการใช้งานมาได้แบบก้าวกระโดดจาก Mate 7 รวมไปถึงการอัพเอท Android ที่เร็วขึ้นเรื่อยๆ บวกกับการได้กล้อง LEICA Gen 2 เข้ามาเติมความครบเครื่องให้กับ Huawei Mate 9 พร้อมกับชิป Kirin 960 ที่เริ่มจะสมบูรณ์มากขึ้นเมื่อทำการอุดช่องโหว่เรื่องของ 3D Graphic ไปได้ ฟันธงสั้นๆ ง่ายๆ ว่า Mate 9 และ Mate 9 Pro มีดีพอที่จะขึ้นมาวัดรอยเท้าของ iPhone และ Galaxy S แล้วครับ

Play video

ส่วนจะไปหยิบเลือกใช้รุ่นไหนดี ระหว่าง Mate 9 หรือ Mate 9 Pro ก็ต้องตัดสินใจใน 3 ประเด็นหลักๆ คือ

  • งบประมาณ ตั้งงบไว้เท่าไหร่ก็เล็งตัวที่ไม่เกินงบก็ได้
  • ขนาดตัวเครื่อง หรือคุณอาจจะโดนดีไซน์และขนาดตัวเครื่องล่อใจ ชอบจอใหญ่หรือเล็ก
  • หน่วยความจำ แน่นอนว่า Mate 9 Pro นั้น RAM เยอะกว่า หน่วยความจำเร็วกว่า แต่เพิ่มเมมไม่ได้ ส่วน Mate 9 นั้นเติมได้ด้วย micro SD

ส่วนถ้าถามผมก็ต้องบอกว่ายอมกัดฟัน เพิ่มเงินอีกนิด จัด Mate 9 Pro ไปเลย เอาครบๆ จบทีเดียว สบายใจ สเปคนี้ RAM 6GB น่าจะใช้งานได้ยาวๆ