ในที่สุดก็เดินทางมาถึงประเทศเสียที สำหรับ LG StanbyME ทีวีดีไซน์มินิมอลพร้อมขาตั้ง และแบตเตอรี่ในตัว ที่ฮิตมาก ๆ ในเกาหลีซึ่งความฮิตก็แผ่ขยายมาถึงในไทย จน LG ประเทศไทยก็ได้นำมาขายอย่างเป็นทางการแล้วในราคา 44,990 บาท ส่วนใครที่สงสัยว่านอกจากดีไซน์ที่มินิมอลแล้ว มันยังทำอะไรได้อีก คุ้มค่าตัวรึเปล่า วันนี้เราจะมารีวิวให้ดูกัน
ชมดีไซน์สุดมินิมอล
LG StanbyME มาพร้อมดีไซน์สีขาวครีมสะอาดตา ตัวทีวีมาพร้อมกรอบที่สามารถนำที่หนีบมือถือพลังแม่เหล็กมาประกอบใส่ได้ ด้านหลังทีวีใช้วัสดุผ้าสัมผัสนุ่มบุไว้เพื่อซ่อนลำโพงหลังตัวเครื่อง มีช่องที่ใช้เชื่อมต่อทีวีกับขาตั้ง ส่วนช่องพอร์ตเชื่อมต่อ TV input ต่าง ๆ จะอยู่ด้านล่างมีจุกพลาสติกปิดไว้อีกทีเพื่อความสวยงาม
ด้านซ้ายมีปุ่ม Power, ปุ่มเพิ่ม และลดระดับเสียง โดยตัวปุ่มจะมาในดีไซน์ค่อนข้างราบสนิทไปกับตัวเครื่อง ซึ่งส่วนตัวคิดว่าคลำหาค่อนข้างยากหน่อย และถ้าสังเกตดี ๆ ด้านขวาจะเห็น Tag NFC ไว้ใช้แตะมือถือเพื่อเชื่อมต่อกับ TV ด้วย
ส่วนของขาตั้งเมื่อประกอบรวมกับทีวีในแนวตั้งแล้วจะมีความสูงสุดที่ประมาณ 126.5 เซนติเมตร สามารถเลื่อนปรับความสูงของจอขึ้นลงได้ 20 ซม. สามารถปรับมุมมองจอก้ม / เงยได้ฝั่งละ 25 องศา และหมุนบิดซ้าย / ขวาได้สูงสุดฝั่งละ 65 องศา นอกจากนี้ยังสามารถหมุนจอได้ 180 องศา เพื่อเปลี่ยนจอเป็นแนวตั้ง และแนวนอนได้
ตัวฐานจะมีล้อสำหรับเข็นเคลื่อนย้ายทั้งหมด 5 ตัว ติดตั้งมาพร้อมกับแบตเตอรี่ความจุ 5,000 mAh 78Wh ที่ทาง LG การันตีว่าอยู่ดูติดต่อกันได้ยาวนานถึง 3 ชั่วโมงต่อการชาร์จ 1 ครั้ง ด้านบนฐานมาพร้อมกับไฟ LED บอกสถานะการชาร์จ ส่วนด้านหลังมาพร้อมช่องต่ออแดปเตอร์ชาร์จ
ใครที่เห็นดีไซน์มินิมอลแบบนี้ แล้วคิดว่าน้ำหนักจะเบาบอกเลยว่าคิดผิด เพราะแค่ตัวฐานทีวีชิ้นเดียวน้ำหนักก็อยู่ที่ประมาณ 12.7 กิโลกรัมแล้ว เพื่อถ่วงน้ำหนักไม่ให้ทีวีล้มง่าย ๆ ซึ่งเมื่อรวมตัวทีวีพร้อมขาตั้งแล้วจะมีน้ำหนักประมาณ 17.5 กิโลกรัม ดังนั้นถ้าต้องการเคลื่อนย้ายขึ้นลงระหว่างชั้น หรือถ้าประกอบคนเดียวอาจจะลำบากสักหน่อย ถ้าหาเพื่อนอีกสักคนมาช่วยกันจะสบายกว่ามาก ๆ
พอร์ต และการเชื่อมต่อ
ด้วยความที่ LG StanbyME เน้นการเชื่อมต่อผ่านระบบไร้สายอย่าง Bluetooth, Wi-Fi และ NFC เป็นหลัก พอร์ตเชื่อมต่อของ LG StanbyME จึงมีแค่ HDMI 1.4 สำหรับเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ หรือกล่อง TV Box จำนวน 1 ช่องเท่านั้น ส่วนข้าง ๆ มีช่องเชื่อมต่อ USB-A 2.0 ให้ 1 พอร์ตสำหรับเล่นไฟล์ Media หรือเชื่อมต่อกับเมาส์ หรือคียบอร์ดเพิ่มเติม
แน่นอนว่าในเมื่อรุ่นนี้ไม่มีช่องรับสัญญาณทีวีดิจิตอลมาให้ในตัว ทำให้ไม่สามารถรับชมช่องฟรีทีวีต่าง ๆ ได้เลย หากจะรับชมทีวีต้องต่อกล่องรับสัญญาณทีวีดิจิตอลผ่านพอร์ต HDMI เท่านั้น ซึ่งจุดนี้ทำให้รู้สึกว่าจะเรียก StanbyME เป็นทีวีก็เรียกได้ไม่เต็มปาก เพราะถ้าขาดหัวใจหลักตรงนี้ไป StanbyME ก็เป็นเพียงแค่ Smart Monitor ดี ๆ นี่แหละ
ส่วนการเชื่อมต่อไร้สายนั้น รุ่นนี้จะรองรับ Wi-Fi 5Ghz (802.11a/b/g/n/ac) และ Bluetooth 5.0 ไว้สำหรับการเชื่อมต่อลำโพง และหูฟังไร้สายต่าง ๆ นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับ NFC ที่สามารถนำมือถือ Android มาแตะกับตัวทีวีเพื่อเชื่อมต่อใช้งานร่วมกับแอป LG ThinQ ใช้มือถือเป็นรีโมตคอนโทรล เป็นคีย์บอร์ด หรือจะสั่งแคสต์จอมือถือขึ้นไปบนตัวจอแสดงผลก็ได้ ส่วน iPhone ไม่รองรับระบบแตะเชื่อมต่อ เพราะ Apple ล็อกไว้ให้ใช้งานกับระบบจ่ายเงิน Apple Pay เท่านั้น
จอแสดงผลคุณภาพเป็นไง ?
LG StanbyME มาพร้อมกับจอแสดงผล LCD แบบด้านลดเงาสะท้อน มีระบบสัมผัส Touch Screen ขนาด 27 นิ้ว ความละเอียด Full HD (1920 x 1080p) รองรับการแสดงผลสีแบบ HDR10 Pro และรองรับรีเฟรชเรทที่ 60Hz ด้วยราคาค่าตัวที่ค่อนข้างสูง ส่วนตัวคิดว่าคุณภาพพาเนลจออาจยังไม่ค่อยโดนใจ เพราะสีสันค่อนข้างจะดูซีด ๆ แถมมุมมองจอก็ค่อนข้างแคบ ถ้าดูไม่ตรงองศาก็จะมีความเหลือบแบบเห็นได้ชัด
นอกจากนี้ความละเอียด Full HD อาจจะน้อยไปหน่อยสำหรับจอขนาด 27 นิ้ว เพราะถ้ามองใกล้ ๆ จอ จะแอบเห็นเป็นเม็ดพิกเซลอยู่เหมือนกัน ซึ่งถ้าใครซีเรียสเรื่องของคุณภาพจอแสดงผล อาจจะต้องทำใจกันนิดหนึ่ง
ลำโพงเสียงดีมั้ย?
LG StanbyME มาพร้อมกับลำโพง 10W Down Firing 2 ตัวด้านหลัง ถึงแม้จะเป็นลำโพงสเตอริโอ แต่ก็มาพร้อมกับระบบ AI Sound ที่สามารถจำลองแชนแนลเสียงแบบ 5.1 ให้เสียงที่ดูมิติมากขึ้น ส่วนเสียงก็ดังใช้ได้ เปิดแค่ 50% ในห้องกว้าง ๆ ก็ได้ยินทั้งห้องแล้ว ส่วนคุณภาพเสียงก็ถือว่าทำได้ดีใช้ได้เลยทีเดียว มีเบสทุ้ม ๆ ให้ฟังพอสนุก นอกจากนี้ตัวทีวียังมาพร้อมกับระบบ Pre-set รูปแบบเสียงให้เข้ากับคอนเทนต์ที่เรากำลังรับชมอยู่ โดยจะมีให้เลือกด้วยกัน 7 แบบ ได้แก่
- โหมดมาตรฐาน Standard
- โหมดหนัง Cinema
- โหมด Football สำหรับดูกีฬาฟุตบอล
- โหมดเพลง Music
- โหมด Game Optimiser ช่วยปรับเสียงให้เข้ากับการเล่นเกม
- โหมด Clear Voice ช่วยดึงเสียงพูดในหนังให้ดัง และฟังได้ชัดกว่าเดิม
- โหมด AI Sound ปรับรูปแบบเสียงให้เข้ากับคอนเทนต์ที่รับชมโดยอัตโนมัติผ่านระบบ AI
แต่ถ้าเสียงยังไม่สะใจพอ สามารถต่อลำโพงไร้สาย Blutooth มาช่วยเพิ่มคุณภาพของเสียงได้อีกแรง แต่การเชื่อมต่อลำโพงไร้สายนั้นจะมีความ Delay อยู่พอสมควร แต่ตัวทีวีก็มีระบบปรับจูนให้ลำโพงในตัวของทีวี และลำโพง Bluetooth ปล่อยเสียงออกมาเท่ากัน แต่ต้องปรับด้วยตัวเองแบบ Manual กว่าเสียงจะเท่ากันก็ต้องใช้เวลาสักพัก
ในรุ่นนี้ไม่รองรับการถอดรหัสเสียง Dolby Atmos ซึ่งถ้าเชื่อมต่อเครื่องเสียงผ่านพอร์ต HDMI จะรองรับรูปแบบเสียงแค่ Dolby Digital, Dolby Digital Plus และ PCM เท่านั้น
ระบบ TV แอปต่าง ๆ
LG StanbyME มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการสมาร์ททีวี WebOS 6.0 ที่รองรับแอปสตรีมมิ่งฮิต ๆ ทั้ง Netflix, Disney+ Hotstar, HBO Go, Prime Video, Apple TV+ และ YouTube นอกจากนี้ยังมีสโตร์สำหรับดาวน์โหลดแอปเพิ่มเติมด้วย แต่ทั้งนี้ เนื่องจากตัวจอเป็นระบบทัชสกรีน อาจมีบางแอปที่ไม่รองรับการใช้นิ้วปัดสั่งการ จะต้องใช้รีโมต หรือ Virtual Remote บนหน้าจอเพื่อควบคุมแทน
นอกจากนี้ยังมีบางแอปที่ไม่รองรับการแสดงผลในแนวตั้ง เมื่อทำการหมุนจอ แอปจะยังแสดงผลเป็นหน้าต่างแนวนอนเล็ก ๆ ไม่ปรับอัตราส่วนให้เหมือนบนมือถือ ส่วนการใช้งาน WebOS ร่วมกับจอสัมผัสก็อาจจะยังดูไม่ลื่นไหลสักเท่าไหร่ เพราะตัวระบบไม่ได้ออกแบบแอนิเมชั่นการปัดต่าง ๆ ให้เหมาะกับการใช้ทัชสกรีน ดังนั้นการปัดใช้งานอาจจะดูทื่อ ๆ ไปบ้าง แต่โดยรวมแล้วยังตอบสนองได้ดี ไม่มีอาการช้า หรือค้างให้เห็น
LG StanbyME ไม่เหมือนทีวีปกติอย่างไร
มีขาตั้ง พร้อมล้อลากไปไหนมาไหนได้
หลาย ๆ คนอาจจะงงว่า จะเอาล้อลากทีวีไปเพื่ออะไร? แต่จริง ๆ แล้วต้องบอกว่ามันใช้ได้จริงมาก ๆ สำหรับใครที่อยู่คอนโด หรือหอพักเล็ก ๆ ที่มีพื้นจำกัด เพราะเมื่อไหร่ที่ต้องการพื้นที่ใช้สอยเพิ่มเติมเพื่อทำกิจกรรมอย่างอื่น ก็สามารถลากไปเก็บไว้มุมอื่นได้ ไม่ต้องคอยยกทีวีขึ้นลงเอง
หรือใครที่เป็นคนติดการรับชมคอนเทนต์ ดูซีรีส์อยู่ตลอดเวลา แต่รู้สึกว่าหน้าจอมือถือ และแท็บเล็ตยังไม่เต็มตาพอ ก็สามารถลากเจ้า LG StandbyME ไปไหนมาไหนได้ตลอดเวลา จะดูชินจังตอนกินข้าวก็ลากไปนั่งกินข้าวด้วยกัน หรือเวลาทำกับข้าวแล้วต้องการดูสูตรอาหารจาก YouTube ก็สามารถลากไปเข้าครัวเป็นเพื่อนได้เลย ดูผ่านทีวีโดยตรงยังไงก็เต็มอิ่มกว่าดูผ่านมือถือ แท็บเล็ตจอเล็ก ๆ อยู่แล้ว
ตัวจอใช้ได้ทั้งแนวตั้ง / แนวนอน
ในยุคนี้คอนเทนต์วิดีโอแนวตั้งอย่าง TikTok และ YouTube Short กำลังมาแรง หากต้องการรับชมคอนเทนต์ต่าง ๆ ในแนวตั้งก็สามารถหมุนจอเป็นแนวตั้งเพื่อรับชมได้ทันที แถมยังมีแอป TikTok TV ให้ดาวน์โหลดใช้งานกันเพิ่มเติมได้
รองรับการสั่งการแบบไร้สายแบบเต็มรูปแบบ
LG StanbyME รองรับการสั่งการไร้สายผ่านแอป LG Thin Q ที่สามารถสั่งเปิด / ปิดตัวเครื่องได้ผ่านตัวแอป ใช้มือถือแทนรีโมต และสามารถใช้เป็นคีย์บอร์ดเพื่อกรอกข้อมูล เสิร์ชคีย์เวิร์ดหนังต่าง ๆ ได้ หรือจะใช้เป็นเมาส์แบบ Touch Pad ได้ด้วย นอกจากนี้ LG StanbyME ยังรองรับการส่งไฟล์ภาพ / วิดีโอ / เพลง ขึ้นไปเล่นบนทีวีแบบไร้สาย แถมยังสามารถส่งเสียงจากทีวีเข้ามาที่โทรศัพท์ของตัวเองเพื่อฟังคนเดียวได้ด้วย
ส่วนของฝั่ง iOS เองก็รองรับการเชื่อมต่อมือถือเข้ากับแอปบ้านอัจฉริยะอย่าง HomeKit สามารถใช้ iPhone เป็นรีโมท หรือสั่งแคสต์จอผ่านระบบ AirPlay 2 ได้ทันที
แคสต์จอสะดวก สัมผัสผ่านจอทีวีได้เลย
สำหรับพ่อค้าแม่ค้าคนไหนทีชอบไลฟ์ขายสินค้าผ่านแอปโซเชียลต่าง ๆ แต่มองจอมือถือ อ่านคอมเมนต์ตัวเล็ก ๆ ไม่ถนัด LG StanbyME ก็รองรับการเชื่อมต่อกับมือถือเพื่อส่งภาพจอในมือถือขึ้นไปบนจอทีวีใหญ่ ๆ ทำให้ใช้อ่านคอมเมนต์ในไลฟ์ได้สะดวกมากขึ้น แถมการเชื่อมต่อก็ง่าย ๆ เพียงนำมือถือที่รองรับ NFC ไปแตะที่หลังเครื่อง ตัวระบบก็จะเด้งให้ดาวน์โหลดแอป หลังจากนั้นก็ตั้งค่าบนมือถือนิดหน่อย
นอกจากนี้หากมือถือ และคอมพิวเตอร์รุ่นใดที่ที่รองรับระบบ UIBC Miracast เมื่อแคสต์จอแล้ว สามารถสัมผัสกดตอบคอมเมนต์ หรือทัชสั่งการจากตัวจอของ LG StandbyME ได้โดยตรง โดยที่ไม่ต้องกดจอมือถือให้เสียเวลา แต่เบื้องต้นเท่าที่ลองทดสอบดูกับมือถือหลาย ๆ รุ่น ส่วนใหญ่จะรองรับการแคสต์จอเพียงอย่างเดียว ไม่รองรับการสัมผัส ซึ่งจากที่ได้ลองมาผลทดสอบเป็นมีดังนี้
- vivo x80 : แคสต์จอได้ สัมผัสผ่านทีวีไม่ได้ ทีวีฟ้องว่ามือถือไม่รองรับ
- realme GT NEO 3 : แคสต์จอได้ สัมผัสผ่านทีวีไม่ได้ ทีวีฟ้องว่ามือถือไม่รองรับ
- HONOR Magic5 Pro : ถามว่าอนุญาตให้ใช้ระบบ UIBC หรือไม่ เมื่อกดยอมรับ ก็ยังสัมผัสไม่ได้อยู่ดี แต่ไม่มีข้อความฟ้องบนจอทีวี
- Samsung Galaxy S23+ และ Galaxy S23 Ultra : รองรับการสัมผัสแบบเต็มรูป ภาพชัดกว่ารุ่นอื่น ๆ แถมยังดีเลย์น้อยมาก ๆ
- โน้ตบุ๊ค Windows : รองรับการสัมผัสแบบเต็มรูป มีความดีเลย์นิดหน่อย คุณภาพของภาพที่ส่งขึ้นไปพอรับได้
แต่สำหรับระบบ iOS หรืออุปกรณ์อื่น ๆ จะรองรับแค่ระบบ Apple Airplay 2 สามารถส่งภาพได้แบบชัดเจนเทียบเท่า Galaxy S23 Series แต่จะไม่สามารถสัมผัสสั่งการบนจอ LG StanbyME ได้ ซึ่งถือว่าน่าเสียดายมาก ๆ หากทำให้ทุกรุ่นรองรับได้ จะให้ประสบการณ์ราวกับเล่นมือถือจอยักษ์เลยทีเดียว
มีแบตเตอรี่ในตัว ใช้งานได้สูงสุด 3 ชม.
เมื่อมีล้อลาก เคลื่อนย้ายง่ายในตัว หากมีสายระโยงระยาง ลากไปมาระหว่างห้องมันก็อาจจะดูแปลก ๆ ไปสักหน่อย LG StanbyME จึงมาพร้อมกับแบตเตอรี่ในตัวขนาด 5,000 mAh สามารถนำออกไปนั่งชิลล์รับชมหนังนอกบ้าน หรือนำไปสังสรรค์ร้องคาราโอเกะในงานปาร์ตี้เล็ก ๆ ในบ้าน
ทาง LG ยังได้เคลมด้วยว่าแบตเตอรี่ของ StanbyME สามารถรับชมได้ติดต่อนาน 3 ชั่วโมง เราจึงหยิบมาทดสอบให้ดูกัน โดยได้เปิดโหมดภาพไว้ที่แบบ Cinema พร้อมปรับแสงจอให้สูงที่สุด ส่วนเสียงปรับไว้ที่ระดับ 6 – 8 ทดสอบโดยการเปิดคลิป YouTube ที่แสดงผลในโหมดความละเอียดสูงสุด 1080P@60FPS พร้อมแสดงผลแบบ HDR ซึ่งผลทดสอบออกมาดังนี้
ผลทดสอบความอึดแบตเตอรี่
- เริ่มทดสอบ 15.44 น. แบตเตอรี่อยู่ที่ 100%
- 1 ชั่วโมงนิด ๆ ผ่านไป (16.56 น.) แบตเตอรี่ลดลง 31% เหลือ 69%
- 2 ชั่วโมงผ่านไป (17.52) แบตเตอรี่ลดลง 28 % เหลือ 41%
- สรุประยะเวลาเปิดต่อเนื่องประมาณ 3 ชั่วโมง 14 นาที แบตเตอรี่ลดลง 34% เหลือที่ราว ๆ 7% (จบการทดสอบเวลา 17.58 น.)
ซึ่งจากผลการทดสอบบอกได้เลยว่า LG StandbyME ทำได้ดีสมคำเคลม ส่วนการชาร์จนั้นต้องบอกว่าอาจจะช้าไปสักหน่อย เพราะการชาร์จจาก 0 – 100% ใช้เวลาทั้งสิ้นไปเกือบ ๆ 4 ชั่วโมง ดังนั้นหากใครเป็นสายแคมป์ปิ้งแล้วอยากพกไปดูกับเพื่อน ๆ ในทริป ต้องทำใจกันสักหน่อยเพราะถ้าใช้แบตเตอรี่หมด ต้องชาร์จกันยันฟ้ามืดเลยทีเดียว
ผลทดสอบการชาร์จ
- เริ่มชาร์จ 13.44 น.
- ชาร์จประมาณ 52 นาที (14.36 น.) แบตเตอรี่จาก 0 ขึ้นมาเป็น 31%
- 2 ชั่วโมงผ่านไป (15.46 น.) แบตเตอรี่เพิ่มขึ้นเป็น 69%
- 3 ชั่วโมงผ่านไป (16.54 น.) แบตเตอรี่เพิ่มขึ้นเป็น 95%
- เต็ม 100% เวลา 17.28น. ใช้เวลาการชาร์จจาก 0 – 100% ประมาณ 3 ชั่วโมง 44 นาที
สรุปการใช้งาน LG StanbyME
ข้อดี
- ดีไซน์มินิมอล เข้ากับห้องโทนสีขาว
- เคลื่อนย้ายไปมาสะดวกเพราะมีล้อในตัว
- เหมาะกับห้องที่มีพื้นที่น้อย เพราะสามารถเลื่อนเก็บไปไว้ที่อื่นได้ เวลาต้องการใช้พื้นที่
- ขาตั้งปรับความสูง และปรับมุมมองจอได้หลายองศา เปลี่ยนจอเป็นแนวตั้งได้อัตโนมัติแค่หมุน ไม่ต้องตั้งค่าให้ยุ่งยาก
- รองรับทัชสกรีน สัมผัสจอได้เลย ไม่ต้องใช้รีโมต
- เชื่อมต่อกับมือถือสะดวก ผ่านการแตะ NFC หลังทีวี (เฉพาะมือถือ Android ที่รองรับ NFC เท่านั้น)
- ระบบ WebOS รองรับแอปหลากหลาย มีเกือบทุก Streaming Service
- ลำโพงคู่เสียงดัง คุณภาพเสียงใช้ได้
ข้อสังเกต
- พาเนลจอตกยุคเมื่อเทียบกับราคา ได้ความละเอียดน้อยเพียง Full HD 1080P@60Hz มุมมองแคบ สีสันค่อนข้างซีด
- ไม่มีช่องรับสัญญาณทีวีดิจิตอลในตัว เน้นดูแอป Streaming อย่างเดียว ถ้าจะดูต้องต่อกล่องรับสัญญาณแยกผ่านพอร์ต HDMI
- WebOS อาจไม่ได้ออกแบบมาเพื่อระบบสัมผัส ทำให้ประสบการณ์การใช้งานค่อนข้างติดขัด
- พอร์ตเชื่อมต่อน้อย มีให้เพียง HDMI 1 พอร์ต และ USB-A 1 พอร์ตเท่านั้น
- น้ำหนักค่อนข้างเยอะ ยก/ประกอบคนเดียวค่อนข้างลำบาก
- แบตเตอรี่ชาร์จช้ามาก ใช้เวลาเกือบ 4 ชั่วโมงกว่าจะชาร์จเต็ม 100%
- การแคสต์จอมือถือ และสั่งการด้วยการสัมผัสไม่รองรับในมือถือบางรุ่น
- ราคาค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับสเปคที่ได้ เพื่อแลกกิมมิกด้านดีไซน์เพียงอย่างเดียว
สรุปแล้ว LG StandbyME คุ้มกับราคาค่าตัวไหม?
หากจะบอกว่าคุ้มหรือไม่คุ้มจริง ๆ ก็ขึ้นอยู่กับว่าพิจารณาจากในแง่มุมไหน ถ้าต้องการทีวีที่มาพร้อมกับจอแสดงผลคุณภาพดี ๆ สีแจ่ม ๆ ระบบเสียงกระหึ่มเหมือนทีวีในท้องตลาดทั่วไป ก็อาจจะไม่ตอบโจทย์ และดูไม่คุ้มค่ากับเงิน 40,000 บาทจริง ๆ
แต่ถ้าใครที่อยากได้ทีวีดีไซน์สวยไม่เหมือนใคร มาแต่งห้องให้ดูมีความมินิมอลขึ้น รวมถึงชอบดูคอนเทนต์ในระหว่างที่ทำกิจวัตรประจำวัน ต้องการทีวีจอใหญ่ ๆ ที่เคลื่อนย้ายไปไหนมาไหนได้สะดวก หรือเป็นพ่อค้าแม่ค้าที่ต้องไลฟ์ขายของ พร้อมตอบลูกค้าไปด้วย ส่วนตัวคิดว่าตอบโจทย์ เพราะถ้าจะหาทีวีที่มาพร้อมกับฟังก์ชั่น และดีไซน์สวย ๆ แบบนี้ในตลาดทีวีบ้านเรา ถือว่ามีตัวเลือกให้เลือกน้อยรุ่นมาก ๆ ดังนั้นจะคุ้มไม่คุ้มก็ชั่งน้ำหนักกันดูนะ
ราคา และการวางจำหน่าย
LG StanbyME วางจำหน่ายในไทยอย่างเป็นทางการแล้ว ในราคา 44,900 บาท และช่วงนี้ทาง LG ประเทศไทยก็ได้จัดโปรโมชันราคาพิเศษอยู่ที่ 39,990 บาทเท่านั้น ส่วนตอนนี้ตัวแทนจำหน่ายหลาย ๆ ที่ก็ได้ขายล็อตแรกหมดเกลี้ยงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ใครสนใจต้องรอติดตามกันให้ดีว่า LG ประเทศไทยจะนำเข้ามารีสต็อกใหม่กันอีกรอบรึเปล่านะ
Comment