สวัสดีครับเพื่อนๆสมาชิกชาว Droidsans ทุกคน วันนี้ผมจะมารีวิวมือถือฟังเพลงที่ดีที่สุดสำหรับคนที่มีดนตรีในหัวใจโดยเฉพาะ  นั่นก็คือ… Marshall London สำหรับผมนี่เป็นการรีวิวครั้งแรก ภาพอาจจะไม่สวยหรือข้อมูลตกหล่นไปบ้าง ก็ขออภัย ณ ที่นี้ด้วยครับ ถ้าหากจะให้ทดสอบอะไรก็แนะนำเข้ามาได้นะครับ

สเปค Marshall London

 

  • หน้าจอ 4.7 นิ้ว 720p Gorilla Glass 3
  • CPU Qualcomm Snapdragon 410 1.2 GHz Quad Core
  • กล้องหลัง 8 ล้านพิกเซล
  • กล้องหน้า 2 ล้านพิกเซล
  • Android 5.0.2 (สำคัญมากสำหรับมือถือฟังเพลง เพราะ Lollipop จะมีความหน่วง (LATENCY) ที่ต่ำกว่า Android รุ่นก่อนๆ)
  • ROM 16 GB
  • RAM 2 GB
  • มีช่อง MicroSD 
  • แบตเตอรี่ถอดเปลี่ยนได้ขนาด 2,500 mAh
  • รองรับการใช้งาน nano SIM
  • 3G/4G LTE ลองของ AIS ใช้งานได้ปกติ แต่เครือข่ายอื่นยังไม่ลอง(ยังไม่มี nano SIM ของค่ายอื่น)
  • Wifi รองรับคลื่น a/b/g/n, 2.4 & 5GHz
  • Bluetooth: Bluetooth 4.1 with BLE&aptX 

จุดเด่นของ Marshall London

  • ลำโพง Stereo คู่ด้านหน้าของตัวเครื่อง พร้อม Amps และ Audio chip Wolfson WM8281
  • มีระบบทำให้เวลาเล่นเพลงผ่าน Bluetooth Speaker แล้วคุณภาพเสียงไม่ดรอป รองรับไฟล์ .fla อื่นๆ
  • ปุ่ม M (M-Button) Key ลัดคล้ายๆ ปุ่ม Walkman เพื่อเปิด App Music Player ของ Marshall London
  • ป่มปรับเสียงเป็นแบบ Scroll wheel ทำให้มีความละเอียดในการเพิ่ม-ลดเสียงมากกว่าแบบปุ่มกด
  • ช่องหูฟัง 3.5 มม. 2 ช่อง สามารถฟังเพลงพร้อมกันได้ทั้งช่อง และสามารถปรับเป็น In-Out เพื่อให้ Marshall London ทำหน้าที่เป็น Amp ได้

อุปกรณ์ที่แถมมากับ Marshall London

  • หูฟัง In Ear Mashall Mode (Small Talk เพิ่มเสียง-วางสาย-Mute)
  • สาย USB 2.0 วัสดุเป็นสายผ้าถักเหมือนของหูฟัง Mashall Major (หนาใช้ได้เลย)
  • ปิ๊กกีตาร์
  • Wall Charger 1A (ชาร์จค่อนข้างช้า)
  • Battery 2,500mAh 1 ก้อน

ตัวเครื่องของ Marshall London ทำมาจากพลาสติกก็จริง แต่ให้ความรู้สึกเหมือนหนังเมื่อเวลาสัมผัส ขนาดกระชับมือ ดูหรูหราและเรียบๆ แต่แอบดุด้วยสไตล์ Rock ขนาดหน้าจอ 4.7 นิ้ว ถือว่าไม่ใหญ่ไม่เล็กจนเกินไป พอดีสำหรับใส่กระเป๋ากางเกงยีนส์ขาเดฟของเหล่าผู้ชาย ด้านล่างมีสัญลักษณ์ Marshall และลำโพง Stereo แต่ไม่มีปุ่มกดนะครับ เพราะปุ่ม menu, home และ back นั้นเป็นแบบ on-screen navigation ครับ ด้านบน มีลำโพง Stereo อีกอัน และเซนเซอร์รับแสง ข้างๆกันจะมี Notification LED (เท่าที่ใช้มาเห็นสีแดง และ ขาว) 

ขอบบน มีช่องหูฟัง 3.5mm 2 ช่อง (ทดลองใช้หูฟัง 2 อันใช้ได้จริงครับแต่ยังใช้เป็น Amp ไม่เป็น) และ M-Button (key ลัดสำหรับเข้า Music Player)

ด้านขวาของตัวเครื่องมีปุ่ม เปิด-ปิดเครื่อง แล้ว Volume Control แบบ Scroll เพื่อที่จะเพิ่ม-ลดเสียงแบบที่ให้ความรู้สึกแบบ Analogue แลดูละเอียดมากกว่าปุ่มกด แอบค้นพบโดยบังเอิญว่าหากดปุ่ม Volume Control เข้าไปแบบเรากดปุ่มกลางเม้าส์จะเป็นการเข้าสู่ Mode Camera ซึ่งแอปกล้องที่ติดมาให้คือ Google Camera

ด้านล่างของตัวเครื่องมีช่องเสียบสาย USB และ รู Microphone ครับ

ขอบซ้ายไม่มีปุ่มใดๆ มีแค่ลายที่ออกแบบคล้ายๆ เครื่องเสียง(สัมผัสแล้วรู้สึกฟิน)

ด้านหลังของตัวเครื่องเป็นฝาหลังทำจากพลาสติกที่ออกมาคล้ายหนัง และสามารถบิดงอได้ (แบบของ Samsung)

เปิดมาด้านใน มีแบตเตอรี่สามารถถอดเปลี่ยนได้ ช่องใส่ Sim Cardแบบ Nano Sim และช่องสำหรับใส่ Micro Sd

เปิดฝาหลังมาก็เจอคำคมที่เขียนไว้บนแบตเตอรี่กระแทกใจเลย LONG LIVE ROCK ‘N’ ROLL

ซอฟต์แวร์ของ Marshall London มาพร้อมกับ Android5.0.2 Lollipop ขับเคลื่อนโดยขุมพลัง Snapdragon 410  RAM 2GB ROM 16GB แบตเตอรี่ 2,500 mAh ในตอนแรกที่ทดสอบเครื่องมีหน่วงและกระตุกบ้าง พยายามหาทางอัพเดทกว่าจะได้ แต่พออัพเดทเสร็จปรากฏว่าลื่นและประสบการณ์ใช้งานดีขึ้นกว่าเดิมมากๆ

ผมเองทดสอบผลคะแนน Benchmark มานิดหน่อย (ตามธรรมเนียม) เผื่อใครอยากจะเห็นคะแนน แน่นอนว่า CPU มันไม่ได้แรงอะไรมาก คะแนนก็จะออกมาด๋อยๆ หน่อย

 

หน้าตา UI ของ Marshall London ก็จะเป็นแบบ Pure Android ทั่วไปๆ (มีเพื่อนผมแซวมาว่าให้ I-Mobile ทำให้ป่าว)

 

Notification Bar ก็มาแบบ Pure แต่งงว่าทำไมไม่สามารถแตะค้างที่ Icon เพื่อเข้าไป Manual Set-up Wifi, Bluetooth ได้หว่า

 

ในส่วนของ Setting ก็เหมือนกับ Pure ทั่วไป ขับเคลื่อนด้วยระบบ Android 5.0.2 พออัพเดทแล้วดีกว่าตอนแรกที่แกะกล่องมามากมาย มี Double tap awake มาให้ ถือว่าเซอร์ไพรซ์ผมมาก เท่าที่ลองใช้ตอบสนองช้ากว่า OPPO , LG พอสมควร แต่ก็ดีกว่าไม่มี เพิ่มเติม Capture หน้าจอโดยการกดปุ่ม power + กด Scroll เพิ่มลดเสียงลงไป (เหมือนกดปุ่มกลางเม้าส์) พร้อมกัน

 

 

Music App ของ Marshall London ก็มีหน้าตาเช่นนี้

  

เมื่อกดเล่นเพลง สามารถปรับแต่งเบสได้ตั้งแต่ 0-100 โดยกดที่รูป Icon ตู้แอมป์(หรือลำโพงไม่แน่ใจ) เปิด Appมาหน้าตาก็จะเป็นเช่นนี้(อ่านภาษาไทยออกด้วย)

 

รูที่2ไว้ปรับ Equalizer ได้ตามใจชอบ  หรือจะเป็นแบบสไตล์ต่างๆ ที่เค้าตั้งค่าไว้ให้แล้ว

แต่ถ้าเราใช้ Key ลัด M-Button เพื่อเข้าApp Music Player หน้าตาก็จะเป็นแบบนี้

  

แอปตัวนี้แตกต่างจากตัวแรกที่ Mode นี้สามารถปรับความดังของเสียงใน สเกลที่ละเอียดกว่าจาก0-36 ซึ่งผมชอบมากโดยเฉพาะเวลาเปิดเพลงฟังตอนนอน (ผมไม่ใช่ใส่หูฟังตอนนอนกลัวรัดคอ) บางรุ่นเราเปิดเบาสุดมันยังดังอยู่ดี ส่วน EQ ก็ยังสามารถปรับได้เหมือนเดิม

 

และก็ยังมีแบบที่ Mashall Set มาให้เหมือนกัน  และยังสามารถอ่านภาษาไทยได้เหมือนเดิม

การอัดเสียง ไม่ได้มีอะไรพิเศษต่างจาก Pure Android ทั่วไปใดๆ (ยังไม่ได้ลองฟังว่ามันบันทึกได้ดี พิเศษกว่าทั่วไปแค่ไหน ตัดเสียงได้มากกว่ารุ่นอื่นๆ รึเปล่า)  

 

LoopStack เป็นแอปไว้สำหรับแต่งเพลงโดยเอาจังหวะ มา Mix กัน (เหมือนเคยเห็นเค้าเอาคำมาทำเป็นเพลง) แต่สารภาพตรงๆว่าพยายามใช้มา 4 วันแล้วยังใช้ไม่เป็นเลย

 

App Edjing Pro LE เป็น App ที่ติดมากับเครื่อง แต่เหมือนจะไม่ได้มีการใช้ฟรี ผู้ใช้ต้องซื้อเองหากต้องการฟังก์ชั่นครบ

วิธีการใช้งานเบื่องต้น ให้เราทำการ add เพลงตรงเครื่องหมาย + (Add Song)

หากกดปุ่มนี้ก็จะมีตัวเลือกให้เราเลือกว่าจะเปลี่ยน เป็นรูปแบบแผ่นเสียงDJ หรือจะบันทึกไฟล์เสียงที่เราMix

 

Style DJ หากเราเข้านิ้วไปจิ้มที่แผ่นเสียงแผ่นนั้นก็จะหยุดหากปล่อยก็จะเล่นต่อปกติ หากเราหมุนไปทิศทางตรงกันข้ามกับที่แผ่นเสียงหมุนก็จะเป็นการย้อนหลัง และ หากหมุนไปทิศทางเดียวกันก็จะเป็นการเร่งไปข้างหน้า (ระหว่างที่ทำการหมุนแผ่นเสียงจะมีเสียงคล้ายเสียง สแควซแผ่นด้วย)

 

 

มาถึงเรื่องกล้องความละเอียด 8MP ของ Marshall London กันบ้าง ต้องบอกเลยว่าอย่าไปคาดหวังอะไรมากนะครับ นี่คือตัวอย่างภาพกลางแจ้ง 

Close up 

ใต้ต้นไม้ 

แสงน้อย 

เทียบกับ S6 Edge 

ในอาคาร 

เปิดแฟลช 

Selfie (1.3 MP) 

สรุปผลการใช้งาน จากการที่ทดลองใช้งานมา 3 วัน แบตเตอรี่ถือว่าดีหลังจากได้รับซอฟต์แวร์อัพเดทมา แต่เท่าที่ลองยังไม่อึดเท่า Xpria Z1 ที่เคยใช้มาแต่ก็ถือว่าสอบผ่านในการใช้งานของผม ส่วนเรื่องความร้อนหลังจากการอัพเดทก็ไม่ค่อยเจอปัญหาเรื่องความร้อนอีกเลย เว้นแต่จะใช้เล่น Internet ต่อเนื่องเป็นเวลานานจริงๆ

ข้อดี

  • ดีไซน์โดดเด่น มีความเป็นเอกลักษณ์
  • เรื่องเสียงมันสุดยอดมากจริงๆ ทั้งจาก Audio chip โดยเฉพาะเวลาเปิดผ่าน Bluetooth Speaker ไฟล์เพลงเดียวกันเปิดจากมือถือคนละเครื่อง (เทียบกับ S6 Edge) Mashall London ทำได้ดีกว่ามากเลย

ข้อเสีย

  • กล้องมีไว้สำหรับบันทึกความทรงจำหรือเหตุการณ์ต่างๆ เท่านั้น เผลอๆ Samsung Galaxy S2 ยังจะดีกว่าซะอีก
  • ชาร์จแบตนานมาก (อาจเพราะผมใช้ OPPO Find 7A , S6 Edge ที่มีระบบชาร์จไวเลยไม่ชินก็ไม่ทราบ

สรุปทิ้งท้าย

Mashall London ไม่ได้เป็นมือถือที่ครบเครื่องมากมาย เพราะถือว่า Spec แค่ระดับ Mid-End สามารถถอดแบตเปลี่ยนเมมได้ แต่จะมีเรื่องเสียงเพลงที่ทำมาได้เยี่ยมทดแทนมาให้ หากท่านไม่ได้เป็นผู้รักในเสียงเพลงจริงๆ รุ่นนี้อาจจะไม่ตอบโจทย์การใช้งาน แต่ถ้าหากติดว่าจะซื้อหูฟัง , Amp แล้วแถมมือถือก็ถือว่าเป็นตัวเลือกที่ดีครับ

ปล.เดี๋ยวมาอัพเดทภาพ Software เสียงนะครับกำลังหัดใช้อยู่ (เนื่องจากมีการ Update Software ทำให้ต้องถ่ายคลิปใหม่เยอะ เลยยังไม่มีคลิปให้ชมนะครับ)