ใครที่กำลังมองหาสมาร์ทแบนด์ราคาไม่เกิน 2 พันบาทแต่ได้สเปคคุ้ม ๆ เหมาะกับใส่ในทุกกิจกรรม ขอแนะนำ Samsung Galaxy Fit 3 เลย เพราะมาพร้อมสเปคแบบครบ ๆ อย่าง จอใหญ่ดูได้เต็มตา, แบตอึดใช้งานได้นาน, กันน้ำ 5ATM, หมวดออกกำลังกาย 100+ และฟีเจอร์ตรวจจับด้านสุขภาพครบ ๆ และที่สำคัญคือสามารถตรวจจับการล้มและส่ง Emergency SOS ได้ด้วย
แกะกล่อง Galaxy Fit 3
Samsung Galaxy Fit 3 ที่เราได้มาเป็นสี Silver ซึ่งสิ่งที่ให้มาในกล่อง นอกจากจะมีสมาร์ทแบนด์แล้ว ยังให้ที่ชาร์จและคู่มือการใช้งานมาให้
ตัวเรือนบาง ใส่สบาย
Samsung Galaxy Fit 3 มีขนาด 42.9 x 28.8 x 9.9 มม. น้ำหนัก 36.8 กรัม บางเบา สวมใส่สบาย ใส่ไปแล้วทำกิจกรรมได้อย่างคล่องตัว ไม่เกะกะ สายนาฬิกามาเป็นแบบซิลิโคนสามารถถอดได้ง่ายเพียงแค่กดปุ่มตรงใต้ตัวเรือน และประกอบเข้ากับตัวเรือนได้ง่ายเช่นเดียวกัน
ใช้งานผ่านแอป Samsung Health และ Wearable
ในการใช้งาน Galaxy Fit 3 จำเป็นที่จะต้องโหลดแอปมาไว้ในมือถือ 2 แอปด้วยกัน ได้แก่
- Samsung Health – แอปสำหรับดูค่าต่าง ๆ ที่สมาร์ทแบนด์ตรวจจับ
- Samsung Wearable – แอปสำหรับตั้งค่าสมาร์ทวอทช์
หน้าปัดใหญ่ ไม่ต้องเพ่งเยอะ
Galaxy Fit 3 ใช้เป็นจอ AMOLED ขนาด 1.6 นิ้ว ความละเอียดอยู่ที่ 256 x 402 สีสันสดใส ขนาดใหญ่เต็ม ๆ ตา เวลายกนาฬิกาขึ้นมาดูทำให้ประหยัดเวลากว่าเดิม เพราะว่าไม่ต้องเพ่ง หรือยกขึ้นมาดูใกล้ ๆ นั่นเอง จะใช้งานกลางแจ้งก็มองได้ชัดดี มี Always On Display เปิดใช้งานตลอดเวลาได้
ฟีเจอร์ออกกำลังกายครบ มีให้เลือกกว่า 100 โหมด
รุ่นนี้มาพร้อมกับโหมดการออกกำลังกายที่มากกว่า 100 รูปแบบ มีทั้ง วิ่ง เดิน ว่ายน้ำ หรือปั่นจักรยาน เป็นต้น ในโหมดการวิ่งก็มีการตรวจจับเส้นทางทำให้เรารู้ระยะทางและจุดที่อยู่ พร้อมทั้งขึ้นเป็นแผนที่แสดงเส้นทางที่วิ่งให้ผ่านมือถือ (เวลาวิ่งต้องพกมือถือไปด้วย เพราะสมาร์ทแบนด์ไม่มี GPS ในตัว) และตรวจจับอัตราการเต้นของหัวใจในขณะที่เราออกกำลังกายอยู่ด้วย ส่วนในกิจกรรมประจำวันทั่วไป ก็จะมีการตรวจจับก้าวเดินหรือแคลลอรี่ที่เผาผลาญให้ตามปกติค่ะ
นอกจากนี้ยังมีการแบ่งระดับของอัตราการเต้นของหัวใจให้ด้วย ซึ่งจะแบ่งเป็น Zone 1 – 5 เอาไว้ใครที่อยากออกกำลังกายให้ได้ตามเป้าหมาย ฟีเจอร์แบ่งโซนอัตราการเต้นของหัวใจจะช่วยได้เยอะเลย
ถ้าใครที่เบื่อ ๆ ไม่รู้ว่าจะออกกำลังกายยังไงดี ในแอป Samsung Health เค้าก็มีตัวอย่างในการออกกำลังกายมาให้ พร้อมคลิปสาธิตวิธีการออกกำลังกายอย่างละเอียด มีบอกว่าต้องทำกี่นาที กี่เซ็ตแล้วถึงเบรกเพื่อพักยก สะดวก ทำให้ไม่ต้องเปิดหาท่าตามอินเทอร์เน็ต
Watch Faces ให้เลือกตามใจชอบกว่า 100 แบบ
รุ่นนี้ได้มีดีไซน์หน้าปัดให้เลือกปรับแต่งตามใจชอบเยอะมากกว่า 100 แบบ สามารถเปลี่ยนได้ตามมูด & โทนในแต่ละวันได้เลย โดยผู้ใช้งานกดเข้าไปเปลี่ยนหน้าปัดได้ผ่านแอป Wearable จากนั้นก็เลือกกด Watch Faces และกด Manage หรือจะเปลี่ยนเป็นภาพถ่ายจากมือถือเราเองก็ทำได้
ฟีเจอร์ตรวจจับการล้ม Fall Detection
อีกหนึ่งฟีเจอร์ที่เป็นไฮไลท์ของ Galaxy Fit 3 ก็คือ ฟีเจอร์ตรวจจับการล้ม Fall Detection นี่แหละ ซึ่งมีประโยชน์กับผู้สูงอายุที่อยู่บ้านคนเดียวมาก เพราะเป็นวัยที่เสี่ยงต่อการลื่นล้มมากที่สุด ซึ่งเวลาที่จะใช้งานต้องเข้าไปตั้งค่าข้อมูลทางการแพทย์ใน Medical info ของแอป Wearable ก่อน โดยเข้าไปที่
- แอป Wearable
- เลือก Safety and Emergency
- เลือก Medical Info
แต่…ยังไม่จบขั้นตอน จากนั้นต้องเข้าไปใส่เบอร์ติดต่อฉุกเฉินใน Emergency Contact ที่อยู่ด้านล่างของ Medical Info ด้วยค่ะ และที่สำคัญอย่าลืมเข้าไปอัปเดตระบบปฏิบัติการของสมาร์ทแบนด์ให้เป็นเวอร์ชันล่าสุดด้วย ข้อสังเกตคือฟีเจอร์ตรวจจับการล้มนี้จะใช้งานได้เฉพาะกับมือถือ Samsung ที่ใช้ One UI 6.1 ขึ้นไปเท่านั้นค่ะ
จากการที่ทดสอบการล้มแบบจริงจัง เมื่อตัวเรากระแทกกับพื้น สมาร์ทแบนด์ก็จะขึ้นนับถอยหลังเพื่อดูว่าเราล้มจริงหรือไม่ ถ้าเราหมดสติไปเลย สมาร์ทแบนด์ก็จะส่งข้อมูลไปยังมือถือ เพื่อที่จะโทรแจ้งไปที่หมายเลขฉุกเฉิน (หมายเลขฉุกเฉินที่ถูกตั้งค่าไว้เป็นเบอร์ 112 ตรงนี้เราสามารถเปลี่ยนเองได้นะคะ) และเมื่อวางสายไปก็จะมี SMS ส่งข้อความ + ตำแหน่งบน Google Maps ไปที่เบอร์ที่เราตั้งเป็นฉุกเฉินไว้ ซึ่งฟีเจอร์นี้เดี๋ยวเราจะมาสอนวิธีตั้งค่าอย่างละเอียดในบทความถัดไปนะคะ
การตั้งค่าฟีเจอร์ตรวจจับการล้ม Fall Detection
สำหรับการตั้งค่าฟีเจอร์ตรวจจับการล้มนั้น มีให้เลือก 3 รูปแบบ อยู่ใน Safety and Emergency บนแอป Wearable ได้แก่
- ตรวจจับตลอดเวลา **แนะนำใช้งานสำหรับผู้สูงอายุเลย**
- ตรวจจับเฉพาะตอนออกกำลังกาย
- ตรวจจับเฉพาะตอนทำกิจกรรม
ฟีเจอร์ Emergency SOS
ปกติแล้วฟีเจอร์ Emergency SOS จะมีให้ใช้งานบนมือถือ ถ้าเราเกิดเหตุด่วนเหตุร้ายก็ให้กดไปที่ปุ่ม Power 5 ครั้งติดกัน ซึ่ง Galaxy Fit 3 ก็สามารถทำได้เช่นกัน เพียงแค่กดปุ่มของเครื่อง 5 ครั้งเท่านั้น แต่ข้อสังเกตคือ สมาร์ทแบนด์จะต้องอยู่ใกล้กับมือถือเอาไว้ให้สัญญาณ Bluetooth เชื่อมต่อกันค่ะ
ฟีเจอร์ตรวจจับสุขภาพครบครัน
สมาร์ทแบนด์มีฟีเจอร์ตรวจจับสุขภาพมาให้แบบครบ ๆ ดังนี้
- ตรวจวัดอัตราการเต้นของหัวใจ
- ตรวจวัดออกซิเจนในเลือด
- ตรวจวัดความเครียด
- ตรวจวัดสุขภาพสตรี
- ตรวจจับการนอนหลับ
ฟีเจอร์ตรวจจับการนอนหลับแบบเชิงลึก
อีกหนึ่งฟีเจอร์ด้านสุขภาพที่จัดมาให้แบบแน่น ๆ เน้น ๆ เลย ก็คือ ฟีเจอร์ตรวจจับการนอนหลับ นี่แหละ ซึ่งในแอปของ Samsung เค้าบอกรายละเอียดต่าง ๆ ดังนี้
- ตั้งแต่เวลาที่เราอยู่บนเตียงตั้งแต่กี่โมงถึงกี่โมง
- นอนหลับจริง ๆ กี่ชั่วโมง
- ระยะเวลาที่หลับลึก
- ระยะเวลาที่หลับตื้น
- ช่วงที่ตื่นกลางดึก
- ช่วงฝัน (REM)
- ออกซิเจนในเลือดขณะหลับ
- ตรวจจับการกรน
ตัวแอปจะสรุปข้อมูลจะขึ้นเป็นกราฟเวลาที่ดูง่าย ๆ และยังมี Sleep Coaching ที่เป็นสัตว์น่ารัก ๆ แต่ละชนิดมาให้ ถ้าหากเราใส่สมาร์ทวอทช์ติดต่อกัน 7 วัน ทางแอปก็จะดูว่าเรามีลักษณะการนอนเหมือนสัตว์ตัวไหน ถ้านอนไม่ดีพอก็จะมีการแนะนำมาให้เราลองทำตาม
และยังแยกกราฟการตรวจวัดออกซิเจนในเลือดขณะหลับให้อีกด้วย
ตอบกลับข้อความได้ทันใจด้วย Quick Reply
สำหรับการแจ้งเตือนข้อความทั่วไป Galaxy Fit 3 สามารถตอบกลับข้อความของเพื่อนด้วยคำพูดสั้น ๆ ที่เราตั้งค่าเอาไว้ได้ แต่จะไม่สามารถพิมพ์ตอบกลับเป็นข้อความยาว ๆ เหมือนที่พิมพ์ทั่วไปได้นะคะ นอกจากนี้ยังสามารถกดเปิดดูข้อความบนจอมือถือผ่านการกดดูในสมาร์ทแบนด์ได้เลย และจะไม่สามารถรับสายมือถือผ่านนาฬิกาได้ เพราะว่าตัวเรือนไม่มีลำโพงกับไมโครโฟนค่ะ
กันน้ำ 5ATM
Galaxy Fit 3 ได้ออกแบบมาให้เราใช้งานได้แบบไม่ต้องกังวลดเรื่องโดนน้ำ โดนฝุ่นเลย ซึ่งรุ่นนี้เค้าก็มาพร้อมฟีเจอร์กันน้ำในระดับ 5ATM เทียบเท่าความลึก 50 เมตร ไม่ว่าใช้งานท่ามกลางจะฝนตก, ใส่อาบน้ำ, ใส่ว่ายน้ำ หรือดำน้ำก็ไม่มีปัญหา
แบตเตอรี่ใช้งานนาน
สำหรับการใช้งานทั่วไป แบตเตอรี่ของรุ่นนี้สามารถใช้งานได้นานถึง 13 วัน หลังจากชาร์จเต็ม 100% เราได้ทดสอบแบตเตอรี่ด้วยการเปิดการตรวจจับการใช้งานไว้ทุกฟีเจอร์ และได้เปิด Always On Display ไว้ด้วย ใช้งานไปทั้งหมด 5 วันเต็ม ๆ แบตเตอรี่ลดเหลือ 26% ก็ยังถือว่ามีแบตเตอรี่เหลือเอาไว้ใช้งานต่อได้ยาว ๆ จนถึงค่ำ ๆ เลย
สรุปการใช้งาน
Galaxy Fit 3 เป็นสมาร์ทแบนด์ที่เกินคุ้มกับราคาจริง ๆ เพราะว่ายัดฟีเจอร์มาให้หลากหลายมาก ๆ ในการใช้งานทั่วไปก็ถือว่าให้มาครบ ทั้งตรวจจับกิจกรรมตลอดทั้งวัน, การรับแจ้งเตือนข้อความต่าง ๆ, ฟีเจอร์ตรวจจับด้านสุขภาพ, ฟีเจอร์เทรนนิ่งการออกกำลังกาย ความทนทานใส่ไปว่ายน้ำได้ ตลอดจนดีไซน์ที่เบาบางใส่สบาย แต่เสียดายฟีเจอร์เด่น ๆ อย่าง ฟีเจอร์ตรวจจับการล้ม Fall Detection สามารถใช้ได้แค่กับมือถือ Samsung ที่ใช้ One UI 6.1 ขึ้นไปเท่านั้น รวมทั้งมีบางฟีเจอร์ที่ใช้กับมือถือยี่ห้ออื่นไม่ได้ด้วย
ข้อดี
- จอใหญ่ ใช้งานแบบไม่ต้องเพ่ง
- มีฟีเจอร์ตรวจจับการล้ม และฟีเจอร์ SOS
- กันน้ำ 5ATM
- ตัวเรือนบาง ไม่เกะกะ สวมใส่สบาย
- ฟีเจอร์ออกกำลังกาย 100 โหมด
- ฟีเจอร์ตรวจจับการนอนหลับแบบละเอียด
- ราคาคุ้มค่ากับสเปคที่ได้
- แบตเยอะ ใช้งานได้นาน
ข้อสังเกต
- ฟีเจอร์ตรวจจับการล้มใช้งานได้แค่ มือถือ Samsung ที่ใช้ One UI 6.1 ขึ้นไปเท่านั้น
- บางฟีเจอร์จะใช้กับมือถือ Android อื่น ๆ ไม่ได้
- ไม่มีลำโพงและไมโครโฟน
- ไม่มี GPS ในตัว
- ต้องโหลดแอปมาใช้ 2 แอปแยกกัน ทำให้รู้สึกไม่สะดวก
ราคาจำหน่าย
Samsung Galaxy Fit 3 มีให้เลือกด้วยกันทั้งหมด 3 สี ได้แก่ สี gray, สี silver และ pink gold วางขายในราคา 1,990 บาท สามารถสั่งซื้อได้ผ่านเว็บไซต์ Samsung เลยค่ะ
เหมือน Huawei Watch Fit มากกกก ให้ Huawei OEM ให้หรือเปล่า และทำไมต้องใช้แอพถึงสองตัวฮะ Samsung