Samsung Galaxy Tab S9 FE และ Galaxy Tab S9 FE+ แท็บเล็ตรุ่นน้องของ Galaxy Tab S9 Series ที่มาพร้อมฟังก์ชันการใช้งานแบบจัดเต็มไม่แพ้กัน ทั้งจอใหญ่สุด 12.4 นิ้ว ลื่น 90Hz ใช้งานคู่ปากกา S Pen สร้างสรรค์ผลงานได้สนุกในทุกกิจกรรม พร้อมลุยทุกสถานการณ์แบบไร้กังวลด้วยมาตรฐานกันน้ำ กันฝุ่น IP68 ชิป Exynos 1380 แบตเยอะใช้งานได้นาน วางจำหน่ายในราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 16,990 บาท
สำรวจรอบเครื่อง
ทั้ง Galaxy Tab S9 FE และ FE+ นั้นจะมาในดีไซน์ที่เหมือนกันเลย ทางด้านขอบเครื่องจะมีความโค้งมน หยิบจับสะดวกเครื่อง FE ที่เราได้มาทดสอบเป็นรุ่น Wifi มีน้ำหนัก 523 กรัม ส่วนเครื่อง FE+ จะเป็นรุ่น 5G มีน้ำหนักอยู่ที่ 628 กรัม ถือว่าอยู่ปานกลางไม่ได้หนักจนถือนาน ๆ ไม่ได้
ทั้งสองรุ่นนี้เป็นสี Gray มีความเทาหม่น ๆ งานประกอบดูพรีเมี่ยม เนื้อสัมผัสแบบแมทท์ ผิวเรียบลื่น ข้อดีคือจับแล้วไม่ทิ้งรอยนิ้วมือ ไม่ต้องคอยเช็ดบ่อย ๆ ด้านข้างของตัวเครื่องด้านขวาจะเป็นปุ่ม Power อยู่รวมกันกับปุ่มเพิ่ม – ลดเสียง รุ่น FE+ ช่องใส่ซิมจะอยู่รวมกันกับปุ่มดังกล่าวด้วย มาพร้อมลำโพงคู่อยู่ด้านบน 1 ตัว ด้านล่างอีก 1 ตัววางอยู่ด้านข้างของพอร์ตชาร์จ USB – C
FE+ ด้านหลังของเครื่องจะให้กล้องมาทั้งหมด 2 ตัว และรุ่นธรรมดาให้กล้องมา 1 ตัว
จอใหญ่ ใช้งานลื่น 90Hz
ในการใช้งานแท็บเล็ตเรื่องที่หลาย ๆ คนให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก ๆ เลยก็คือเรื่องของหน้าจอนี่แหละ ซึ่ง Galaxy Tab S9 FE+ ได้ให้ขนาดจอมาอยู่ที่ 12.4 นิ้ว ส่วนรุ่นธรรมดาได้ให้ขนาดจอมาอยู่ที่ 10.9 นิ้ว รีเฟรชเรทเท่ากัน 90Hz รับชมคอนเทนต์หรือไถฟีดโซเชียลได้ลื่นไหล ไม่มีกระตุก ดูหนังได้เต็มจอไถฟีดได้เต็มตา และมี Algorithm Vision booster ที่จะช่วยให้ความสว่างหน้าจอมากถึง 600 นิตไว้สู้กับแสงแดดเมื่อใช้งานกลางแจ้งได้ด้วย
On – The – Go พกไปได้ทุกที่แบบไร้กังวล
ตัวเครื่องและปากกามาพร้อมมาตรฐานกันน้ำ กันฝุ่น IP68 จะพกออกไปใช้งานเมื่อต้องเดินทางออกนอกสถานที่ได้แบบไม่ต้องกังวลเลย ไม่ว่าจะเอาไว้นั่งทำงานที่คาเฟ่กลางแจ้ง ฟังเพลงชิว ๆ ริมสระน้ำในพูลวิลลา ปิกนิกในสวนสาธารณะ หรือไว้เปิดฟังเรื่องผีตอนตั้งแคมป์ข้างน้ำตกก็สบาย หรือถ้าใครเผลอทำน้ำหก หรือเครื่องเลอะก็หยิบไปล้างได้เลย (นี่ไงล้างเครื่องของจริง)
ชิป Exynos 1380 เล่นเกมได้
ถึงแม้ว่าหลาย ๆ คน อาจจะไม่ค่อยได้เล่นเกมในแท็บเล็ตสักเท่าไหร่ เพราะด้วยขนาดจอที่ใหญ่ และน้ำหนักที่มากกว่ามือถือ 2 – 3 เท่า แต่ด้วยความที่เราอยากรู้ความแรงของชิป จึงได้ลองทดสอบผ่านเกม Garena Undawn ซึ่งตัวเครื่องสามารถรับกราฟิกได้ในระดับสูง ไม่สามารถปรับได้ถึง Cinematic และในตอนที่เล่นเกมนั้นตัวละครวิ่งได้ค่อนข้างลื่นเลย มีการกระตุกน้อยมาก ๆ เกิดขึ้นในบางช่วง และสู้กับซอมบี้ได้สบาย ๆ
กล้องหลัก 8MP กล้องเซลฟี่ 12MP
ทั้งสองรุ่นให้กล้องหลักความละเอียดเท่ากันคือ 8MP ใช้งานถ่ายภาพหรือสแกนเอกสารได้ชัด แต่รุ่น FE+ จะให้กล้อง Ultrawide 8MP มาให้ไว้เก็บภาพในมุมกว้าง ๆ ส่วนกล้องหน้าให้กล้อง Ultrawide 12MP มาให้ ใช้วิดีโอคอลประชุม หรือโทรเม้าท์กับเพื่อนได้สบายไม่ตกเฟรม
ตัวอย่างภาพจากกล้อง Galaxy Tab S9 FE
ภาพจากกล้องเซลฟี่ Galaxy Tab S9 FE
ตัวอย่างภาพจากกล้อง Galaxy Tab S9 FE+
เทียบภาพกล้อง Ultrawide Galaxy Tab S9 FE+
แบตเยอะ ชาร์จไว 45W
Galaxy Tab S9 FE มีแบตเตอรี่อยู่ที่ 8000mAh หลังจากที่ชาร์จแบตเตอรี่เต็ม 100% ก็ได้เริ่มต้นใช้งานแบบจัดหนัก ทั้งโหลดเกม เล่นเกม และดูซีรีส์ยาว ๆ มีหยุดพักข้ามคืนบ้างแล้วกลับมาใช้งานต่อเป็นเวลารวม 1 วัน 5 ชั่วโมง แบตเตอรี่ลดเหลือ 14%
Galaxy Tab S9 FE+ มีแบตเตอรี่อยู่ที่ 10,090mAh หลังจากที่ชาร์จแบตเตอรี่เต็ม 100% ก็ได้เริ่มต้นใช้งานแบบจัดหนักเหมือนกัน ทั้งโหลดเกม เล่นเกมรัว ๆ และดูซีรีส์ยาว ๆ หลายชั่วโมงติดกัน และหยุดพักสแตนบายข้ามคืนบ้าง รวมแล้วเป็นเวลา 1 วัน 5 ชั่วโมง แบตเตอรี่ลดเหลือ 32%
เทียบสเปค Samsung Galaxy Tab S9 FE และ Galaxy Tab S9 FE +
Galaxy Tab S9 FE | Galaxy Tab S9 FE + | |
หน้าจอแสดงผล | 10.9-inch,WUXGA+ [2304 x 1440], 90Hz | 12.4-inch, WQXGA [2560 x 1600], 90Hz |
ขนาด | 6.5 mm | |
วัสดุ | Full Metal | |
น้ำหนัก | 523g (Wi-Fi) / 524g (5G) | 627g (Wi-Fi) / 628g (5G) |
กล้องหลัง | 8MP | 8MP + Ultrawide 8MP |
กล้องหน้า | 12MP Ultrawide | |
RAM | 6GB | 8GB |
ROM | 128GB | |
CPU | Exynos 1380 | |
แบตเตอรี่ | 8000mAh รองรับ 45W | 10090mAh รองรับ 45W |
การเชื่อมต่อ | 5G [Sub-6], Wi-Fi 6, BT 5.3 | 5G [Sub-6], Wi-Fi 6E, Wi-Fi 6, BT 5.3 |
ลำโพง | Dual Speaker by AKG | |
มาตรฐาน | กันน้ำ กันฝุ่น IP68 |
ฟีเจอร์หลากหลาย ใช้คู่ S Pen อย่างลื่นไหลและสร้างสรรค์
S Pen ใช้แปลภาษาอย่างรวดเร็ว
ใครที่อ่านการ์ตูนภาษาต่างประเทศบ่อย ๆ หรือว่าดูหนังแบบ Original Subtitle คำศัพท์บางคำที่ไม่รู้ ก็ต้องมาคอยเปิด Translate อีกที และยิ่งพวกศัพท์ภาษาจีน เกาหลี ญี่ปุ่น ที่เราจะต้องจำตัวอักษรมาและเขียนหรือพิมพ์แยก มันก็จะแอบลำบากนิดนึง แต่ว่าปากกา S Pen ได้มีฟีเจอร์ Translate ในตัว ซึ่งสามารถใช้แปลได้ทั้ง ซับใน Netflix, คำพูดตัวละครในเว็บตูน แม้แต่แปลในรูปภาพ ก็ทำได้ ไม่จำเป็นต้องเป็น PDF หรือ Text เท่านั้น
วิธีใช้ S Pen เพื่อแปลภาษา
กดที่ปุ่มของปากกา / กดทีหน้าจอเพื่อแสดงแท็บตัวเลือก > เลือก Translate > นำปากกามาจ่อที่ประโยคที่ต้องการจะแปล
สะดวกสุด ๆ ด้วย S Pen To Text
เขียนบน Searching Bar ได้เลย ต้องบอกว่าสะดวกจริง ๆ หากเรากำลังใช้ปากกาวาดรูปหรือเขียนโน้ตอยู่ แล้วไม่อยากเปิดแป้นพิมพ์และจิ้ม ๆ ลงไป ก็ใช้ปากกาเขียนลงไปได้เลย หรือมีเหตุจำเป็นจะต้องเปลี่ยนไปใช้ Browser เพื่อค้นหาข้อมูล ก็เขียนลงไปที่ Search Bar ได้เลยทันที อีกทั้งยังรองรับภาษาไทยด้วยนะ เขียนเป็นภาษาไทยก็แม่นยำ สะดวกมากๆ
หรือจะใช้งาน Drag and Drop ก็ได้ เมื่อเปิด Samsung Notes และ Pinterest พร้อมกัน เพื่อใช้งานวาดรูป ก็สามารถที่จะดึงภาพจากแอปและโยนใส่ไปใน Notes และวาดต่อได้ทันที หรือจะดึงภาพจาก Google แบบไม่ผ่านการกดโหลดก็ทำได้เช่นกัน ถ้าดึงจาก Chrome ตัวภาพจะมาพร้อมข้อความที่เป็นที่มาเลย ต้องมาลบอีกที
และนอกจากพวกภาพแล้ว ยังสามารถลากข้อความมาวางโดยไม่ต้องกด Copy และ Paste เลย เพียงแค่ Crop ข้อความที่เราต้องการและลากไปวางในโน้ต
อัดวิดีโอไป เขียนไป พร้อมกันได้เลย
สำหรับน้อง ๆ นักศึกษาที่เรียนออนไลน์ หรือเรียนผ่านคลิปวิดีโอแล้วต้องการที่จะ Lecture ก็แค่เข้าไปที่ อัดวิดีโอหน้าจอ จิ้มปากกา S pen เลือกสีของตัวปากกา หรือจะเลือกเขียนไปบนวิดีโอที่เราอัดหน้าจอแบบลอย ๆ อย่างนั้นได้ทันที แบบไม่ต้องเปิด Note ขึ้นมา
เคาะ 2 ที จดงานได้ทันใจ
สำหรับสายรีบ สาย Lecture แบบไว ๆ ต้องถูกใจฟีเจอร์นี้ เพราะว่าเวลาที่เราต้องการจดงาน จดรายละเอียดสำคัญแบบด่วนจี๋ ก็เพียงแค่กดปุ่ม S Pen เคาะไปที่หน้าจอ 2 ครั้ง ก็จะจดได้ทันที ไม่ต้องคอยเปิดค้นหาแอป Note ต่าง ๆ ให้ยุ่งยาก (สามารถใช้งานได้ทั้งแบบล็อกหน้าจอและหน้าจอปกติเลย)
ไดคัตรูปภาพจากวิดีโอได้ทันที
อีกหนึ่งฟีเจอร์ที่น่าทึ่งมากจริง ๆ ปกติเวลาที่เราจะได้คัตภาพเล็ก ๆ ก็ดูเหมือนจะทำได้แค่ไดคัตจากภาพแล้วดึงออกมาเท่านั้น แต่ S Pen สามารถได้คัตภาพที่ต้องการจากวิดีโอได้แล้วแปะไปที่โน้ตได้ทันที ด้วยวิธีง่าย ๆ เพียง
เปิดแกลเลอรี่และโน้ต แบบ 2 จอพร้อมกัน > เปิดวิดีโอจากแกลเลอรี่ > หยุดเล่นวิดีโอให้ตรงกับภาพที่เราต้องการ > กดไอคอนรูปวิดีโอตรงมุมซ้ายของคลิป > ใช้ S Pen จิ้มไปที่วัตถุในวิดีโอ > ลากมาวางไว้
ใช้งานแบบ Multitasking
การใช้งานแบ่งหน้าจอ สำหรับใครที่ต้องการทำหลาย ๆ อย่างไปพร้อม ๆ กันนั้น ตัวแท็บเล็ตสามารถแบ่งหน้าจอใช้งานได้ 3 หน้าจอพร้อมกัน ทั้งแนวตั้งและแนวนอนเลย หรือจะเพิ่ม Floating อีกจอก็ได้
ส่วนการใช้งานคู่กัน 2 จอสามารถแบ่งได้ 2 แบบ คือ บน/ล่าง และ ซ้ายขวา จะดู YouTube ไปด้วย + จดงานไปด้วยพร้อมกันสองจอก็สบาย
หรือจะใช้งาน DeX Mode ก็สะดวกไม่น้อยเลย ใครที่ต้องการใช้งานในรูปแบบโน้ตบุ๊ค ก็แค่เปิดไปที่โหมดดังกล่าวนี้ พร้อมเชื่อมต่อกับคีย์บอร์ด หรือจะใช้ Spen แทนเมาส์ก็ได้
นอกจากนี้ยังใช้งานฟีเจอร์อื่น ๆ อย่าง Multi Control, เชื่อมต่อกับอุปกรณ์ Window, ตัดต่อวิดีโอหรือ reels สั้น ๆ หรือต่อเป็นจอที่ 2 ได้เหมือนกับที่ Samsung Galaxy Tab S9 Series ทำได้
สรุปการใช้งาน
ทั้งสองรุ่นนี้ถือว่าเป็นแท็บเล็ตระดับกลางที่ให้ฟังก์ชันมาอย่างครบครัน คุ้มค่า ตอบโจทย์ผู้ใช้งานที่ต้องออกไปทำงานนอกบ้านบ่อย ๆ ใช้งานคู่กับS Pen ที่ไม่ต้องเสียบชาร์จแบตเตอรี่ให้ยุ่งยาก หรือสายดูซีรีส์ที่ต้องการใช้จอใหญ่ ๆ ก็คือดูได้อย่างเต็มตาและไม่ต้องกังวลเรื่องแบตหมดไวด้วย
ข้อดี
- จอใหญ่
- S Pen ใช้งานได้สะดวกและหลากหลาย ให้มาพร้อมกับตัวเครื่อง ไม่ต้องซื้อเพิ่มเลย
- มี DeX Mode ใช้งานเป็นโน้ตบุ๊คได้ไม่ติดเลย
- มีมาตรฐานกันน้ำ กันฝุ่น IP68 ทั้งตัวเครื่องและปากกา
- ชิป Exynos 1380 เล่นเกมกราฟิกหนักได้
ข้อสังเกต
- ตัวเครื่องร้อนเร็วไปนิดนึง
- จุดที่เครื่องร้อนอยู่บริเวณที่มือจับพอดี
- กล้องเซลฟี่เป็นแบบแนวนอน สายเซลฟี่อาจจะไม่ถนัด
- รุ่น FE + จอใหญ่อาจต้องใช้อุปกรณ์เสริม พวกเคสสำหรับวาง
ราคาจำหน่าย
Samsung Galaxy Tab S9 FE ได้วางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในวันที่ 4 ตุลาคม 2566 มีให้เลือกทั้งหมด 3 สี ได้แก่ สี Gray, สี Mint และ สี Lavender
ส่วน Samsung Galaxy Tab S9 FE+ มีให้เลือกทั้งหมด 2 สี ได้แก่ สี Gray และ สี Mint โดยมีรุ่นความจุและราคา ดังนี้
- Galaxy Tab S9 FE Wi-Fi (6/128GB) : 16,990 บาท
- Galaxy Tab S9 FE 5G (6/128GB) : 19,990 บาท
- Galaxy Tab S9 FE+ Wi-Fi (8/128GB) : 23,900 บาท
- Galaxy Tab S9 FE+ 5G (8/128GB) : 27,900 บาท
โปรโมชันช่วงเปิดตัว
แถมฟรี Smart Book Cover มูลค่าสูงสุด 2,990 บาท สำหรับการสั่งซื้อ Galaxy Tab S9 FE และ Galaxy Tab S9 FE+ ตั้งแต่วันที่ 4 ตุลาคม ถึง 1 พฤศจิกายน 2566
Comment