งาน SDC 2016 หรือ Samsung Developer Conference 2016 เป็นงานสัมมนาใหญ่ของทาง Samsung ที่ได้จัดขึ้นในวันที่ 27-28 เมษายนที่ผ่านมา ซึ่งจัดขึ้นที่ Moscone West ณ เมือง San Francisco ซึ่งก่อนหน้านี้ผมได้พูดถึง Keynote ในงานนี้กันไปแล้ว สรุป Keynote จากงาน Samsung Developer Conference 2016 คราวนี้ถึงเวลาพาผู้อ่านทุกๆท่านไปเที่ยวชมกันในงานนี้แล้วล่ะ
สำหรับราคาบัตรในงานนี้จะอยู่ที่ $499 (ถ้าซื้อช่วง Early Bird จะอยู่ที่ $399 และถ้าซื้อในช่วงเวลางานจะอยู่ที่ $599) ซึ่งถือว่าไม่แพงมากนักนะ เมื่อเทียบกับงานเจ้าอื่นๆ และนอกจากนี้ยังมีบัตรอีกหลายๆประเภทให้ซื้อด้วย เช่น อยากจะเข้าเฉพาะ Keynote เท่านั้น ก็จะมีราคาอยู่ที่ $100 หรือถ้าอยากจะเข้าปาร์ตี้ช่วงเย็นเพียงอย่างเดียวก็จะมีราคาอยู่ที่ $69
Day 0 – Hands-On Workshop
ถึงแม้ว่างานจะจัดอยู่ 2 วัน แต่จริงๆแล้วมีการจัด Workshop ขึ้นในวันที่ 26 ด้วย โดยผมได้ลงทะเบียนเข้า Workshop ของ Samsung Knox กับ Gear S ไป (มี Workshop ของ ARTIK กับ VR ด้วย) ซึ่ง Day 0 นั้นจะต้องเสียเงินเพิ่ม $49 ต่อจำนวน Session ที่เข้า ซึ่งในวันนั้นก็เข้าได้มากสุด 2 Session เพราะเค้าแบ่งเป็นช่วงเช้าและช่วงบ่าย
ข้อดีของการเข้า Day 0 ก็คงจะเป็นการได้ลงทะเบียนรับ Badge แบบไม่ต้องต่อคิวอะไรมากนัก เพราะวันนี้คนจะน้อยมาก
ซึ่งการลงทะเบียนจะมีให้ไปที่หน้าเคาเตอร์หรือจะลงทะเบียนด้วยตัวเองก็ได้ แล้วค่อยไปรับ Badge
โดย Badge ก็จะมีหลายประเภท ซึ่งของผมก็ Attendee ธรรมดาๆนี่แหละ ฮาๆ
จากนั้นก็ไปรับของแจกต่อ โดยจะมีกระเป๋า, เสื้อ Knox และเสื้อกันหนาวแบบมีฮู้ดให้คนละชุด
จากนั้นก็เข้า Session ครับ ซึ่งอยู่ชั้นแรกสุดของงานนั่นแหละ (มีทั้งหมด 3 ชั้น) อยู่ข้างๆกับจุดลงทะเบียนเลย
ห้อง Knox และ Gear S ที่ผมเข้านั้น มีเครื่อง S7 Edge กับ Gear S ให้ยืมด้วย ซึ่งที่น่าสนใจก็คงจะเป็น Gear S ที่ทางทีมพัฒนาเค้าทำกล่องสำหรับเชื่อมต่อ Debug ตัว Gear S โดยถอดฝาหลังของ Gear S ออกแล้วต่อเข้ากับขั้วต่อของตัวเครื่องโดยตรง (แอบเถื่อนนิดหน่อย)
ตอนจบ Session จะมีการแจก Gear S ประมาณ 8 เครื่อง (Session ละ 4 เครื่อง) โดยสุ่มจากแบบสอบถามที่ให้เขียนหลังจากจบ Session ซึ่งผมก็อดแดกอดได้อยู่ดี ถึงแม้ว่าในแต่ละห้องจะมีคนไม่ถึง 25 คนก็ตาม
แต่ที่น่าเจ็บใจที่สุดใน Day 0 นั้นไม่ใช่การชวด Gear S แต่อย่างใด กลับเป็นห้อง ARTIK ที่ผมไม่ได้เข้า เพราะห้องนั้นแจก ARTIK 5 ให้กับทุกๆคนที่เข้าห้องนั้นเพื่อเอากลับไปลองพัฒนาเล่นๆกัน แม่มเอ้ย!!!
แต่คิดในแง่ดี Session ที่ผมเข้าก็มีการแจก Power Bank ตัวเล็กๆ ความจุ 2,500 mA ให้กับทุกคนนะเออ ฮืออออออ ขอเถอะครับ พวกงาน IT หลายๆที่อย่าแจก Power Bank กันเลยนะครับ ผมเชื่อว่าเกือบทุกคนในทุกวันนี้เค้าต้องมี Power Bank ติดตัวกันอยู่แล้วครับ แจกไปก็ไม่ได้ใช้อยู่ดี ที่ตัว Power Bank จะเป็นโลโก้ SEAP ย่อมาจาก Samsung Enterprise Alliance Program ซึ่งเป็นโปรแกรมของทาง Samsung สำหรับ Enterprise ครับ
สำหรับ Day 1 และ Day 2 ของงานนั้นจะค่อนข้างเหมือนๆกัน ซะส่วนใหญ่ ต่างกันที่ Keynote และ Session ที่จัดในแต่ละห้อง ดังนั้นภาพรวมภายในงานทั้งหมดจะขอแยกไปเล่าเป็นอีกหัวข้อแทนนะครับ
Day 1
เป็นเช้าที่ไม่ค่อยรีบมาก (เพราะพักใกล้สถานที่จัดงาน) ผู้คนพากันทยอยเดินขึ้นชั้น 3 เพื่อเข้าห้อง Keynote ของวันแรกก่อนที่ Keynote จะเริ่มขึ้นในเวลา 09.30 น. และเมื่อดูจากจำนวนเก้าอี้ที่อยู่ภายในห้อง Keynote ก็พอเดาได้ว่างาน SDC 2016 จะไม่ได้แน่นไปด้วยผู้คนมากนัก ซึ่งก็เป็นเรื่องดี เพราะผมจะได้ไม่ต้องเบียดเสียดกับคนมากนัก แถมได้นั่งใกล้ๆหน้าเวทีด้วย
ใน Keynote มีการพูดหลายๆเรื่องโคตรเยอะเลยครับ เยอะมาก มากจนเกินเวลาในกำหนดการไปประมาณ 30 นาทีเลยทีเดียว
สำหรับเนื้อหาใน Keynote ผมสรุปไว้แล้วใน สรุป Keynote จากงาน Samsung Developer Conference 2016 สามารถตามไปอ่านกันได้ครับ
และในระหว่าง Keynote ก็แอบสังเกตเห็นว่าทีมงานได้ตั้งกล้อง Samsung Gear 360 ไว้ที่ข้างหน้าเวทีเพื่อบันทึกวีดีโอไว้ด้วย แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ถ่ายทอดสดมั้ง (เพราะที่ Live บนหน้าเว็ปมันถ่ายจากกล้องธรรมดา)
จากนั้นก็เป็นการเดินชมภายในงานและเข้า Session ต่างๆตามที่ต้องการครับ
Day 2
วันที่สองก็มี Keynote เช่นกัน แต่จะเน้นไปในเรื่อง Inspiration เป็นหลักพูดถึงโอกาสในด้านต่างๆของ VR (และ AR ในบางครั้ง) ในอนาคต และเชิญบริษัทใหญ่ๆที่เป็น Partner กับทาง Samsung ไม่ว่าจะ Cisco, Intel, IBM หรือ Unity มาพูดเรื่องราวต่างๆที่เกี่ยวกับเทคโนโลยี
โดย Unity มีข้อมูลสถิติของ VR ให้ดูด้วย เรียกได้ว่าเห็นภาพอนาคตของ VR เลยทีเดียว และในตอนแรกที่ Samsung พูดในโอกาสทางด้านต่างๆก็น่าสนใจมากเลยทีเดียว (ไม่ได้ถ่ายภาพและจดข้อมูลเก็บไว้ครับ ขออภัยด้วย) จึงไม่แปลกใจละว่าทำไมหลายๆเจ้าต่างพากันก้าวเข้ามาสู่เทคโนโลยี VR กันเยอะแยะไปหมด
และไม่ได้เน้นแค่เรื่อง VR นะ แต่รวมไปถึง AR ด้วยเช่นกัน เพราะในยุคที่ VR เป็นที่นิยมนั้นจะทำให้ AR มีความสำคัญมากขึ้น และเป็นเทคโนโลยีที่มีเติบโตไปควบคู่กันในอนาคต
สำหรับ IBM ก็จะเป็น IBM Watson ซึ่งเป็นโปรเจคของทาง IBM ที่จะพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์ที่มีความคิดใกล้เคียงมนุษย์ให้มากขึ้น โดยจะพูดถึงความสามารถและการเอาไปประยุกต์ใช้งาน โดยยกตัวอย่างการวิเคราะห์ภาพระหว่างผลไม้ที่สุกกับยังไม่สุก หรือการวิเคราะห์ข้อความต่างๆ
และความบันเทิงของ Keynote ในวันนี้ก็คงจะอยู่ที่การแจก Gear 360 นี่แหละ โดยจะใช้วิธีโยนลูกเบสบอลแทน (จะให้โยน Gear 360 แจกทันทีเลยก็บ้าจี้ไปเนอะ) ใครได้ก็ค่อยไปรับของหลังจากจบ Keynote แทน ถ้าจำไม่ผิดแจกประมาณ 10 ตัวมั้ง เอาเถอะ จะกี่ตัวก็ช่าง สุดท้ายผมก็อดได้อยู่ดี
และนอกจาก Keynote แล้ว ในวันที่ 2 ยังมีอีกหนึ่ง Session ในช่วงบ่ายที่ชื่อว่า Innovation Track ที่จะให้เหล่านักพัฒนาแอพที่เป็น Partner กับทาง Samsung ที่มีการพัฒนาแอพสำหรับ Samsung โดยเฉพาะ (Made for Samsung) ขึ้นมาพูดใน Session นี้ ว่าเป็นแอพเกี่ยวกับอะไร ทำอะไรได้บ้าง และมีฟีเจอร์อะไรที่พิเศษสำหรับผู้ใช้งาน Samsung
จุดพีคของ Session นี้ก็คือการแจก Gear 360 นั่นแหละครับ คราวนี้แจก 20 เครื่องเลยทีเดียว มากกว่า Keynote ตอนเช้าเสียอีก ซึ่งผมก็อดเช่นเคย แม่มเอ้ย!! ดวงอับโชคชะมัด แจก 100 เครื่องผมก็คงไม่ได้อยู่ดี
และความน่ารักของ Innovation Track ก็คือทีมงาน Samsung ภายในงานที่เดินป่าวประกาศให้ทุกคนในงานรู้ว่า Session นี้กำลังจะเริ่มแล้วนะ!!
เดินให้ทั่วภายในงาน
บูธต่างๆภายในงานนั้นจะจัดอยู่ที่ชั้น 2 และ 3 ครับ ซึ่งที่ชั้น 3 อย่างแรกสุดที่ออกมาก็จะเจอกับ SmartThings ซึ่งจะเต็มไปด้วยบูธที่เป็น Product ต่างๆที่สามารถทำงานกับ SmartThings ของ Samsung ได้ ไม่ว่าจะ hue, LIFX, Bose หรือ Amazon (เยอะมาก) ซึ่งส่วนใหญ่จะเห็นได้ชัดว่าเน้นไปในเรื่องของ Smart Home หรือ Home Automation กันเป็นอย่างมาก
เยอะเกินไปแล้ววววว
และพื้นที่บริเวณตรงกลางของชั้น 3 จะเป็นโซนของ Samsung KNOX ครับ ซึ่งจะเน้นไปในด้าน Enterprise มากกว่า Consumer (เดิมที KNOX ก็เกิดมาเพื่อการนี้อยู่แล้ว) โดยจะมีบูธเล็กๆสำหรับ KNOX ซึ่งจะแบ่งไปตาม SDK ต่างๆที่มีอยู่ใน KNOX (ผู้ใช้ทั่วไปอาจจะยังไม่รู้ว่า KNOX นั้นเน้นไปในเรื่องของการใช้งานด้าน Enterprise โดยแบ่งความสามารถออกเป็นหลายๆด้านเพื่อให้นักพัฒนานำไปใช้งานครับ)
ซึ่งในโซนนี้มีมินิเกมเล็กๆให้เล่นด้วย โดยให้โยนถุงทรายให้ลงรูให้ได้ มีโอกาส 3 ครั้ง ของรางวัลก็จะเป็นขวดสุญญากาศ ผมก็โยนไม่ลงรูอีกนั่นแหละ ฮา
ใกล้ๆกันนั้นก็จะเป็น Samsung Auto Connect ที่เป็นอุปกรณ์สำหรับรถยนต์โดยเชื่อมต่อผ่าน OBD2 โดยเปิดให้นักพัฒนาสามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ตัวนี้ผ่านแอพได้ (ใช้ SDK ของทาง Samsung) ซึ่งจะทดลองใช้ในอเมริกาเร็วๆนี้ โดยผูกกับเครือข่าย AT&T (เพราะต้องส่งข้อมูลผ่านอินเตอร์เน็ต)
ใกล้ๆกันนั้นก็จะเป็นโซน Future Life-care Experience ที่นำเสนอเทคโนโลยีที่จะเข้ามาช่วยในการดำรงชีวิตให้สะดวกมากขึ้น และก็มีพวก Home Automation นิดหน่อย (ไม่ได้ถ่ายภาพมา)
และมีบูธของ Android for Work จาก Google อยู่ด้วย เป็นบูธเล็กๆที่มีการเดโมให้ดูด้วยว่า Android for Work มีไว้ทำอะไร และดียังไง ซึ่งดูเหมือนว่า Android for Work นั้นจะสนใจ KNOX อยู่ไม่น้อย เพราะจุดประสงค์ในการใช้งานที่คล้ายกัน แต่ KNOX นั้นมีจุดเด่นในเรื่องของ Security ด้วย
ลงมาที่ชั้น 2 กันต่อ เริ่มจากบริเวณข้างนอกก่อนละกัน จะมีบูธของ Samsung Pay เพื่อลองใช้งานกันแบบจริงๆ โดยจะมีชุดเดโมเป็นเครื่องชำระเงินจริงๆเพื่อให้ลองจ่ายเงินด้วย Samsung Pay เพียงแค่ปัดหน้าจอขึ้นเพื่อเรียกใช้งาน Samsung Pay แล้วเลือกบัตรใน Samsung Pay จากนั้นก็ปลดล็อครหัสหรือลายนิ้วมือแล้วก็แตะ เป็นอันเสร็จเรียบร้อย ง่ายเกินไปแล้วววว
ใกล้ๆกันก็จะเป็น Samsung Shop ที่จำหน่ายสินค้าต่างๆของ Samsung โดยจะเน้นไปที่ Samsung Galaxy S7/S7 Edge และอุปกรณ์เสริมต่างๆ และโซนนี้เป็นจุดแลกของรางวัลด้วย เดี๋ยวผมจะพูดในตอนท้ายๆว่ามันแลกของรางวัลอะไรนะ
หลายๆคนก็จะสะดุดตากับเจ้า Gear 360 ที่วางโชว์อยู่ข้างๆ Galaxy S7 แต่ป้ายที่ติดอยู่ไม่ใช่ป้ายราคาหรอก แต่เป็นป้ายบอกว่า “วางจำหน่ายในเร็วๆนี้ที่ Best Buy” ซึ่งที่เกาหลีขายเรียบร้อยแล้วนี่เนอะ แต่ที่อเมริกาก็ต้องรอต่อไป
และก่อนจะเข้าไปในพื้นที่หลักของชั้น 2 นี้ ก็จะมีแอนดรอยด์ตัวใหญ่เป้งพร้อมหน้าจอตั้งอยู่ เพื่อให้เลือกแต่งตัวจาก Androidify ได้ เพื่อปริ้นออกมาเป็นสติ๊กเกอร์กันได้แบบฟรีๆเลย
สำหรับพื้นที่หลักในชั้น 2 จะแบ่งออกเป็นหลายๆโซนดังนี้ (ทางเข้าอยู่ทางขวามือของภาพ)
เมื่อเดินเข้ามาในพื้นที่หลักของงานในชั้น 2 ก็จะเจอกับบูธ ARTIK ก่อนเป็นอย่างแรกเลย ซึ่งโซนนี้จะโชว์ตัวอย่างผลงานที่พัฒนาโดยใช้ ARTIK Module และ ARTIK Cloud ทั้งหมด
ดาวเด่นของโซนนี้ก็คงจะไม่พ้น เจ้า OTTO ที่เป็นหุ่นยนต์ผู้ช่วยประจำบ้าน ที่ทำงานคล้ายๆกับ Amazon Echo แต่มีความน่ารักกว่ามาก (เพราะหน้าจอ Display ของมันที่แสดงเป็นดวงตา) ซึ่งตัวนี้ก็ใช้บอร์ด ARTIK นั่นเอง
ถ้าใครยังไม่เคยเห็นก็ลองดูวีดีโอจาก Keynote ในวันแรกในช่วงเวลา 1:45:34 ได้ครับ
เห็นแล้วก็อยากจะซื้อมาไว้ประจำบ้านเลยใช่มั้ยล่ะ? น่าเสียดายตรงที่ OTTO เป็นแค่ Inspiration Project หรือเป็นโปรเจคต้นแบบเพื่อให้เกิดไอเดียในการนำ ARTIK ไปพัฒนาเพียงอย่างเดียว นั่นก็หมายความว่า OTTO มันไม่มีขายนั่นเอง ทำออกมาดีขนาดนี้ทำไมไม่ขายฟระ
และมีตัวอย่างโปรเจคอุปกรณ์สำหรับ Home Automation ด้วย ซึ่งก็ทำออกมาดีซะเหลือเกิน แต่ดันไม่ขายเหมือนกัน โดยเป็นอุปกรณ์ควบคุมและเซ็นเซอร์เพื่อใช้ติดตั้งในจุดต่างๆของบ้านแล้วทำงานร่วมกันได้
ดีไซน์รูปร่างออกมาสวยมาก แต่ไม่ได้ทำขายนะครับ…
สำหรับบอร์ด ARTIK ก็มีอยู่ด้วยกัน 3 รุ่น สเปคและความสามารถแตกต่างกันไปเพื่อให้เหมาะกับการใช้งานในรูปแบบต่างๆครับ
ถัดมาเป็นโซน Innovation Area ที่แสดงเทคโนโลยีใหม่ๆจากแต่ละบูธ ซึ่งทั้งหมดนี้อยู่ในโปรเจคที่ชื่อว่า C-Labs
AMe เป็นสร้อยคอที่มีกล้องอยู่ 3 ตัว โดยเรียงกันอยู่รอบทิศทาง เพื่อให้สามารถถ่ายรูปได้แบบ 360 องศาในขณะที่สวมใส่อยู่ สามารถบันทึกเป็นวีดีโอ 4K ได้อีกด้วย ทำหน้าที่เหมือนกล้อง 360 นั่นเอง แต่อยู่ในรูปของสร้อยคอที่สวมใส่ได้ ไม่ต้องถือหรือยึดกับที่จับใดๆ
AHead เป็น Bluetooth Headet ที่ใช้แทนลำโพงและไมค์โดยเชื่อมต่อผ่านบลูทูธ แต่ทว่าพิเศษตรงที่ตัวลำโพงไม่ได้เป็นลำโพงธรรมดา แต่ใช้หลักการสั่นให้เกิดเสียง เพื่อติดไว้ที่หมวกกันน็อคแล้วคนใส่ได้ยินเสียงจากในหมวกเลย และบนตัวมันเองก็มีปุ่มอยู่ 3 ปุ่มเพื่อกดใช้สั่งงานได้ด้วย
และ Entrim 4D+ที่จะทำให้การชม VR ให้สมจริงมากขึ้นไปอีก เพราะเจ้าตัวนี้ไม่ใช่หูฟังบลูทูธธรรมดาๆ แต่มันสามารถทำให้คุณรู้สึกเอียงตามภาพที่เห็นใน VR ได้โดยใช้กระแสไฟฟ้าส่งเข้าไปที่บริเวณหลังใบหูแถวๆต้นคอ แล้วคุณก็จะรู้สึกได้เลยว่าเกิดการเอียงทั้งๆที่นั่งอยู่เฉยๆ (น่าจะทำให้น้ำในหูไม่เท่ากัน) โดยมีเดโมเป็นรถที่วิ่งอยู่บนสนามแข่งรถให้ได้ลองรู้สึกเอียงไปเอียงมา
บอกเลยว่าโคตรเจ๋งครับ แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องบอกว่าอย่าไปลองครับ มันให้ความรู้สึกเอียงเหมือนจริงมากจนทำให้เรารู้สึกเวียนหัวได้เลยครับ (หลังจากลองเสร็จ ผมล่ะเวียนหัวเลย) มันเจ๋งจริงๆนะ แต่อย่าไปลองเลย เชื่อผมเถอะ…
ต่อมาก็เป็นโซน Stream Code 101 เพื่อให้ลองเขียนโค้ดบนอุปกรณ์ต่างๆ Smart TV, Gear S, Gear 360, KNOX และ ARTIK โดยจะมี Tutorial ให้ดูแล้วลองทำตามได้เลย และมีทีมงานคอยช่วยดูแลให้ด้วยนะ
ต่อจาก Stream Code 101 ก็จะเป็นโซน Gaming ครับ มีบูธของ Vulkan ที่เดโมให้ดูบน Galaxy S7 กับเดโมเกมบน Tizen TV ด้วย แต่ก็ไม่มีอะไรมากนัก เลยลืมถ่ายมา… ที่น่าสนใจก็เป็นอุปกรณ์เล่นเกมที่วางอยู่บนโต๊ะเพื่อให้ลองเล่นกันซะมากกว่า
ที่ผมชอบจะเป็นจอยเกมของ GameVice ซึ่งเดิมทีทำสำหรับ iOS เท่านั้น แต่คราวนี้ทำสำหรับ Galaxy S6 และ S7 แล้ว แต่ตอนนี้ยังไม่วางจำหน่ายนะครับ
ต่อมาเป็นโซน Project Beyond ซึ่งเป็นหนึ่งในกล้องถ่ายวีดีโอแบบ 360 องศาระดับงาน Production ซึ่งตัวนี้มีจุดเด่นอยู่ที่นอกจากจะเป็นภาพ 360 องศาแล้ว ยังได้เป็นภาพ 3 มิติอีกด้วย (วีดีโอส่วนใหญ่ที่ดูกันใน VR จะเป็นแค่ 2 มิติ ได้ภาพที่แบนราบไม่มีความลึกของภาพ จึงทำให้ไม่รู้สึกสมจริงมากนัก) ในแต่ละจุดจะมีกล้อง 2 ตัวที่วางอยู่คู่กันเพื่อให้ถ่ายภาพได้เป็น 3 มิติ ซึ่งใช้กล้องทั้งหมด 14 ตัว
ข้างๆกันเป็นโซน Samsung Studio & VR ซึ่งจะจำลองการนั่งรถไฟเหาะในสวนสนุกด้วย VR อาจจะฟังดูธรรมดาๆไปหน่อย แต่ความบันเทิงมันอยู่ที่เก้าอี้โยกได้ด้วยนี่แหละครับ
นอกจากจะได้เห็นภาพระหว่างนั่งรถไฟเหาะแบบ 360 ผ่าน Gear VR แล้ว เก้าอี้มันจะโยกตามที่เห็นในวีดีโอเลย (แค่เอียงซ้ายขวาไปมาครับ ไม่ถึงกับตีลังกา อย่าจริงจังไป) เพราะงั้นมันจะได้ความรู้สึกที่สมจริงขึ้นไปอีก ถ้าไม่ติดว่าผมเวียนหัวจากการไปลองไอหูฟังเอียงๆนั่นมาก่อน ผมก็คงจะสนุกกับ 4D Theater มากกว่านี้…
และได้ยินเสียงกระซิบมาว่าเจ้า 4D Theater จะมาโผล่ในไทยให้ได้ลองกันแน่นอนจ้า
นอกจากนี้ที่โซนนี้มีการโชว์สินค้าของ Samsung ด้วย โดยจะโฟกัสไปที่ Samsung Galaxy S7/S7 Edge และอุปกรณ์ต่างๆที่ใช้งานร่วมกันนั่นเอง ซึ่ง Panel ที่ติดอยู่ที่กำแพงจัดได้โคตรสวยเลยล่ะ
เขยิบขึ้นมาหน่อยจะเป็นโซน Galaxy ซึ่งในไปที่การพัฒนาด้วย Samsung SDK (คนละตัวกับพวก KNOX SDK) ซึ่งเป็นชุดพัฒนาสำหรับบนอุปกรณ์ Samsung Galaxy โดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็น Edge Screen, Camera, S Pen หรือ Sound Camp
พึ่งได้เห็นประโยชน์จากหน้าจอใหญ่ๆของ Galaxy View ก็ในงานนี้นี่แหละ…
และนอกจากนี้ทาง Samsung ยังได้เชิญนักวาดฝีมือดีจาก PEN.UP ซึ่งเป็น Community ที่ Samsung สร้างขึ้นมาเพื่อนักวาดภาพบน Galaxy Note มาโชว์ฝีมือวาดรูปเสมือนให้กับคนในงานกันแบบฟรีๆ แถมมีโปสการ์ดจากงานวาดมาแจกฟรีอีกด้วย
เขยิบขึ้นมาอีกจะเป็นโซน Smart TV ที่โชว์เทคโนโลยีต่างๆใน Smart TV (ซึ่งของ Samsung ก็จะทั้ง Samsung Smart TV และ Tizen TV)
ผมได้ไปนั่งลองเล่น Dirt 3 บน Samsung Smart TV ซึ่งตัวทีวีไม่ได้ต่อกับเครื่องเล่นเกมเลย ตัวมันเอง Stream ภาพในเกมจากอินเตอร์เน็ตล้วนๆ ตัวเกมไม่ได้ทำงานอยู่บนทีวีแต่อย่างใด แต่อยู่บน Server ล้วนๆ (เหมือน NVIDIA Shield) ซึ่งเน็ตที่นี่เล่นแล้วลื่นมาก (แต่ความละเอียดก็ไม่ได้คมชัดมาก) ไม่น่าจะเหมาะกับที่ไทยในตอนนี้ซักเท่าไร ฮาๆ
Toast เป็น Hybrid Platform สำหรับการพัฒนาแอพบน Smart TV โดยใช้ Cordava เป็นฐานในการพัฒนา ซึ่งในตอนนี้รองรับกับ Samsung Smart TV และ Tizen TV อยู่ ในอนาคตจะเริ่มรองรับ WebOS, Android TV และ tvOS ตามลำดับ
เขยิบขึ้นมาอีกจนเกือบจะถึงทางออกของพื้นที่หลักก็จะเป็นโซน Made For Samsung ซึ่งเป็นพื้นที่จัดบูธสำหรับเหล่าแอพต่างๆที่มีฟีเจอร์เฉพาะสำหรับ Samsung
และพื้นที่ตรงกลางจะเป็นโซน Sponsors Exhibits สำหรับเหล่าสปอนเซอร์งาน SDC 2016 นั่นเอง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบริษัทซอฟท์แวร์ที่เน้นในเรื่องของ Development ไม่ว่าจะเป็น Unity, Red Hat หรือ Reddit
Session ต่างๆภายในงาน
ในงาน SDC 2016 จะมี Session ตลอดทั้ง 2 วันครับ (ไม่รวม Day 0) ซึ่งจะมีหัวข้อแตกต่างกันออกไปเพื่อให้เลือกเข้าไปฟังได้ตามต้องการ โดยจะแบ่งออกเป็น 10 ห้องด้วยกัน บางช่วงผมก็ตัดสินใจยากเหมือนกัน เพราะมีหลาย Session ที่อยากจะเข้าไปฟังแล้วเวลาดันชนกัน และทุกๆ Session จะมีแบบสอบถามความคิดเห็นให้กรอกข้อมูลด้วย
เห็นว่า Session ที่มีการเอา Vulkan ไปลองใช้ใน TouchWiz ด้วย แต่ผมดันไม่ได้เข้า Session นั้นพอดี ฮาๆ
ความสนุกเล็กๆน้อยๆภายในงาน
ในงาน SDC 2016 ได้มีกิมมิคเล็กๆน้อยๆเพื่อให้ผู้เข้างานร่วมสนุกในงานอย่างเต็มที่ โดยมีสองอย่างด้วยกันคือ Dev Dollar และ Flair
Dev Dollar เป็นคูปองที่ได้จากการเข้าไปเยี่ยมชมบูธต่างๆภายในงาน มีการถาม มีการพูดคุยกับคนที่ประจำอยู่ในบูธนั้นๆ ซึ่งแต่ละบูธจะมีซองที่เก็บ Dev Dollar ไว้ แล้วจะหยิบออกมาให้แต่ละคนแบบสุ่มๆ ซึ่ง Dev Dollar ก็จะมีไว้สะสมเพื่อแลกของรางวัลที่โซน Samsung Store นั่นเอง
ซึ่ง Dev Dollar มีอยู่ด้วยกัน 4 สี คือ น้ำเงิน เขียว ม่วง และ ทอง เรียงลำดับจากหาง่ายไปหายาก โดยที่สีเหลืองจะได้รับ Samsung Galaxy S7 Edge ไปเลยทันที ส่วนสีม่วงเป็น Gadget ของ Samsung ส่วนสีเขียวสำหรับแลก Swag (ของเล็กๆน้อยๆพวกกระเป๋า แก้วน้ำ บลาๆ) และสีน้ำเงินต้องใช้ 10 ใบถึงจะแลกของได้เหมือนสีเขียวหนึ่งใบ
ดูเหมือนว่า Dev Dollar สีทองนั้นจะมีแจกอยู่ประมาณ 10 ใบ หรือก็คือ Galaxy S7 Edge จำนวน 10 เครื่องนั่นเอง แต่อย่าถามผมนะว่าผมได้ Dev Dollar สีอะไรบ้าง… เพราะได้แต่สีน้ำเงินล้วนๆ น่าเศร้าโคตรๆ
Flair เป็นเข็มกลัดสัญลักษณ์ต่างๆที่เกี่ยวข้องกับภายในงาน SDC 2016 ซึ่งจะมีเข็มกลัดแต่ละประเภทวางอยู่ ณ จุดต่างๆภายในงานให้หยิบสะสมกันได้
อาจจะฟังดูเหมือนไม่มีอะไร แต่ผมกลับพบว่า Flair ที่มีให้สะสมเนี่ย มีโคตรเยอะ เยอะมากๆ เยอะชิบหาย เยอะจนวัวตายทั้งคอกเลยก็ว่าได้ (สรุปคือมันมีเยอะนั่นเอง) จากที่ไปไล่สะสมมาได้ก็พบว่ามีประมาณนี้… (น่าจะมีเยอะกว่านี้อีกนิดหน่อย)
แต่สุดท้ายการสะสม Flair เยอะๆก็ไม่ทำให้ผมได้รางวัลอะไรอยู่ดี… (ต้องถ่ายรูปแล้วโพสในแอพของงาน SDC 2016 เพื่อลุ้นรางวัล)
งานแบบนี้จะขาด After Party ไปได้ยังไงล่ะ!!
งาน SDC 2016 ก็มี After Party ในช่วงหัวค่ำจนถึงเที่ยงคืนของ Day 1 ครับ ใช้ชื่อว่า Samsung Epic Celebration เพื่อให้เหล่าผู้เข้าร่วมงานสามารถดื่มเบียร์กันอย่างไม่อั้นพบปะพูดคุยทำความรู้จักกัน มีกิจกรรมเล็กๆน้อยๆให้ได้เล่น รวมไปถึงดนตรีสดๆจากดีเจให้ได้ฟัง รวมไปถึงอาหารและเครื่องดื่มที่มีให้เลือกได้ไม่อั้น (มีขายบัตรสำหรับเข้า After Party อย่างเดียวด้วยนะ เป็นบัตร Fun Pass)
มี Gear VR ให้ใส่พร้อมกับปืนเลเซอร์ที่จะมีแสดงสีแดงเอาไว้ให้กล้องจับการเคลื่อนไหวของผู้เล่น เป็นเกมแนวชู้ตติ้งในรูปแบบ VR นั่นแหละ
ปั่นจักรยานแข่งกันว่าใครจะไวกว่ากัน
ขับ Drone เพื่อแข่งกันทำเวลา ใครทำเวลาได้ดีที่สุดก็ได้ Samsung Galaxy ไปเลย (ถึงแม้จะไม่บอกว่ารุ่นอะไร แต่ก็เดาได้แหละว่าแจกรุ่นไหน)
พับจรวดกระดาษแล้วปาให้เข้าเป้า (เป้าอยู่โคตรไกล…)
และก็ยังจะมี Flair ให้สะสมอีกนะ… มี Soda, Cocktails, Beer และ Wine ถึงกับมีคนวิ่งมาหยิบแล้วถามว่า “Beer อยู่ที่ไหนนนนนน” เพราะในงานวางจุดหยิบ Flair แยกกันสองจุด (คนในงานบางคนนั้นจริงจังกับการสะสม Flair มากเลยนะเออ)
อื่นๆ
ในช่วงเช้ามีขนมปัง ผลไม้ และกาแฟ Starbucks ให้ รวมไปถึงอาหารกลางวันด้วย แต่ในตอนเช้าผมดันแวะเข้า Starbucks เพื่อไปซื้อกาแฟมาก่อนแล้วน่ะสิ…
ช่วงกลางวันมีไอติมฮาเก้นดาสให้กินด้วย แต่ที่นี่อากาศหนาวนะ…
เมื่ออากาศหนาว ดังนั้นคนส่วนใหญ่จึงใส่เสื้อคลุมหรือเสื้อกันหนาวมา ซึ่งภายในงานก็มีจุดรับฝากเสื้อและสัมภาระอื่นๆด้วย (ลูกหลานและเด็กๆไม่นับเป็นสัมภาระนะ)
จุดที่ให้นั่งภายในงานเกือบทุกจุดจะมีปลั๊กและที่ชาร์จไร้สายให้แบบนี้เลย
อ้อลืมไปอีกอย่างหนึ่ง สำหรับ Samsung Gear 360 นอกจากจะสุ่มแจกภายในงานแล้ว Gear 360 ยังแจกให้ฟรีสำหรับเหล่าสปอนเซอร์และผู้มาออกบูธทั้งหลายด้วยล่ะ ซึ่งก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับผมอยู่ดี ดังนั้นภายในงานนี้จะเห็น Gear 360 ได้ตลอดเวลา
และที่สำคัญ คนรู้จักที่มางานนี้ที่มี Galaxy S7 Edge อยู่แล้ว ก็ยังได้ Dev Dollar สีทองอีกด้วย เลยได้รับ S7 Edge ไปอีกเครื่องเลยล่ะ แม่มเอ้ยยยยยยยยย อยากจะร้องไห้มากๆ
ภาพแถม
ไหนๆก็โหลดภาพเยอะแล้ว โหลดเพิ่มอีกนิดหน่อยก็คงไม่เป็นไรมั้ง…
สรุป
เป็นอีกงานหนึ่งที่ไม่ควรพลาดครับ ถึงแม้จะเป็นงานที่ไม่ใหญ่มากเท่า WWDC หรือ Google I/O แต่งาน SDC นี้ก็มีอะไรหลายๆอย่างให้แปลกตาแปลกใจมากพอสมควร โดยเฉพาะเทคโนโลยีต่างๆจากทาง Samsung ด้วยราคาบัตรเข้างานที่ถูกกว่างานอื่นๆ และไม่ต้องรอลุ้นว่าจะสุ่มได้ตัวเองหรือป่าว ในงาน SDC คุณสามารถซื้อบัตรมาเข้างานกันได้ทุกคน (แล้วไปสุ่มที่ของรางวัลแทน ฮา)
ถามว่ามางานนี้คุ้มมั้ย? บอกเลยว่าคุ้มครับ เพราะผมเป็นนักพัฒนาที่สนใจเทคโนโลยีพวกนี้อยู่แล้ว ในงานนี้คุณจะได้เห็น ได้รู้จัก และได้ถามเกี่ยวกับเทคโนโลยีภายในงานทั้งหมด อ้อ และได้สัมผัสด้วย ซึ่งเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ที่อยากให้นักพัฒนาที่ทำงานเกี่ยวกับด้านนี้มาลองสัมผัสดูสักครั้งนะครับ ยกเว้นไอ้หูฟังเอียงๆนั่นน่ะ อย่าไปลองสัมผัสครับ เดี๋ยวจะชิบหายเอา
และบางๆอย่างที่โชว์ภายในงานนี้ก็จะไปให้ชาวไทยได้ลองสัมผัสกันบ้างในปีนี้แหละครับ ส่วนจะเป็นอะไรบ้าง และเมื่อไรก็ต้องคอยติดตามข่าวกันแล้วล่ะ
เอาไว้ดูด้วย wifi ดีกั่ว
555 ละเอียดมาก เหมือนเดินเที่ยวในงานด้วยเลย
อิจฉาเลยอ่ะ สนใจ ARTIK อย่างรุนแรง หาได้จากไหนบ้าวอ่ะงับ เด่วผมแอบไปหาข้ิมูลหน่อย
เออ ชมหน่อย ผมอ่านข่าวเว็บอื่น พูดถึงงานนี้ น้อยอ่ะ ขอบคุณมากเรยครับ เด่วแอบไปหาอ่านเพิ่มเอง แต้งกิ้ว
ตอนนี้ยังไม่มีจำหน่ายครับ ต้องรออีกซักพัก
ขอบคุณสำหรับการพาทัวร์ราคา 15 บาท (ค่า 4G) นะครับ
งานใหญ่ มีสิ่งน่าสนใจเยอะมากครับ ผมสนใจจอยมากเลยครับ