ใครชอบฟังเพลงแนว EDM, Rock, Pop หรือแนวอื่น ๆ สไตล์สนุกสนานเบสตึ้บ ๆ กลองตั้บ ๆ โยกกันหัวสั่นหัวคลอน น่าจะรู้จักกับหูฟังจากค่าย Skullcandy กันบ้างล่ะ เพราะหูฟังจากค่ายนี้มักจะเน้นสไตล์การฟังแบบสนุก ๆ เหมาะกับแนวเพลงที่บอกมาเลย ซึ่งวันนี้เราก็มีหูฟังไร้สายมาแนะนำกัน 2 รุ่น 2 สไตล์ คือ Skullcandy Crusher Evo หูฟัง Over-ear ที่เหมาะมากกับผู้ใช้ที่ชอบกินเบสเป็นอาหารหลัก และ Sesh Evo หูฟังแบบ In-ear ที่ให้เบสตึ้บสะใจเหมือนกัน…โดยทั้งคู่เป็นรุ่นพิเศษที่จับมือกับ Budweiser มากับดีไซน์สีแดงแจ๋โดนใจสุด ๆ

สำหรับหูฟังค่าย Skullcandy รุ่นพิเศษที่ไปจับมือกับแบรนด์เบียร์ชื่อดัง Budweiser จะมากับดีไซน์พิเศษที่เน้นการใช้สีแดงเป็นหลัก โดยรุ่นที่อยู่ในซีรีส์นี้ก็จะมีทั้ง Indy Evo, Dime และ Crusher Evo กับ Sesh Evo ที่เรารีวิวกันคราวนี้ครับ ซึ่งเหล่าหูฟังในซีรีส์ Budweiser ก็จะมีสเปค + ฟีเจอร์ต่าง ๆ ที่เหมือนกับรุ่นต้นฉบับหมดเลย จะต่างกันแค่สีเท่านั้นครับ

Skullcandy Crusher Evo (8,990 บาท) หัวสั่นเหมือนยืนอยู่หน้าเวทีคอนเสิร์ต

เริ่มกันด้วย Crusher Evo ที่บอกเลยว่าผมเป็นแฟนตัวยงของหูฟังซีรีส์ Crusher มานานแล้ว เคยใช้ตั้งแต่รุ่นมีสาย Skull Crusher ที่ต้องใส่ถ่าน Subwoofer ตรงสายหูฟัง ถัดจากรุ่นนั้นก็มาใช้ Skullcandy ที่เปลี่ยนชื่อรุ่นมาเหลือสั้น ๆ ว่า Crusher ซึ่งเป็นแบบมีสายและยังต้องใส่ถ่านแยกไว้ที่ตัวหูฟังด้วย จากนั้นก็มาใช้ Crusher 3.0 Wireless ที่ยังใช้พอร์ต micro USB อยู่ แล้วก็มาต่อที่ Crusher Evo ตัวนี้แหละ

สำหรับดีไซน์ของ Crusher Evo x Budweiser ที่ส่วนตัวแล้วต้องบอกเลยว่าถูกใจสุด ๆ เพราะมากับสีแดงดำ (ชอบสีแดงดำเป็นพิเศษ ขนาดรุ่น Crusher Wireless ก่อนหน้านี้ยังซื้อฟองน้ำรองหูสีแดงมาเปลี่ยนเองเลย 555) ที่แดงแปร๊ดสะใจ โดยพื้นผิวหูฟังเป็นสีแดงแบบมันวาวที่ตอนแรกคิดว่าใช้ไปเรื่อย ๆ แล้วน่าจะเป็นคราบนิ้วมือเพียบแน่ ๆ แต่พอใช้จริงแล้วกลับไม่เป็นคราบเลย ใช้มายาว ๆ สัปดาห์นึงไม่ต้องเช็ดก็ยังมันวาวปิ๊ง ๆ เหมือนเดิม

ฟองน้ำรองหูนิ่มสบายและกันเสียงด้านนอกเข้ามาและกันเสียงด้านในออกไปข้างนอกได้ดีพอสมควรจนไม่ต้องพึ่งระบบ ANC (เพราะไม่มีให้อยู่แล้ว ฮา…) ก็ยังดื่มด่ำกับเพลงได้แบบเป็นส่วนตัว ส่วนก้านหูฟังก็สามารถปรับขนาดได้ และไม่บีบหูจนใช้นาน ๆ แล้วปวดขมับด้วย แต่เป็นเรื่องธรรมชาติของหูฟังแบบนี้ที่เวลาใช้นาน ๆ แล้วจะเกิดความร้อนที่หูจนต้องถอดออกให้หูได้รับอากาศบริสุทธิ์บ้าง โดยปกติใช้งานหลัก ๆ บนรถไฟฟ้าติดต่อกันเป็นเวลา 1 ชม. ก็จะค่อยถอดหูซักครั้งเพราะเริ่มอึดอัดหู

ส่วนที่ชอบคือตรงตัวหูฟังสามารถหมุนได้ด้วย ทำให้เวลาเอามาคล้องคอเฉย ๆ เราพับหูฟังให้เป็นแนวนอนนาบไปกับหน้าอกได้เลย ซึ่งรุ่น Crusher 3.0  Wireless ไม่สามารถหมุนตรงปรับระดับตรงนี้ได้ เวลาคล้องคอแล้วตัวหูฟังจะมาค้ำตรงคางจนต้องเดินหน้าเชิดเหมือนคนหยิ่งตลอดเวลา

ตัวหูฟังด้านขวาทีปุ่มทั้งหมด 3 ปุ่ม คือ ปุ่มบนสำหรับเร่งเสียง ปุ่มกลางสำหรับ Play / Pause และปุ่มล่างสำหรับลดเสียง ส่วนการเปลี่ยนเพลงจะใช้วิธีกดปุ่มเพิ่มเสียงค้างไว้ 3 วินาที เพื่อเล่นเพลงต่อไป และกดปุ่มลดเสียง 3 วินาทีเพื่อย้อนกลับ

ซึ่งส่วนตัวคิดว่าการเปลี่ยนเพลงด้วยวิธีนี้ไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่หากเราต้องการย้อนกลับไปฟังเพลงก่อนหน้า เพราะเวลาเพลงใหม่เริ่มขึ้นมาแล้วเรากดปุ่มลดเสียงค้างไว้มันก็จะแค่ย้อนกลับที่ต้นเพลงที่ฟังอยู่เท่านั้น ไม่ยอมย้อนเพลงกลับไปก่อนหน้านี้ให้ (เคยใช้หูฟังรุ่นอื่น ๆ จะเป็นแบบกดปุ่มลดเสียงติดกัน 2 ครั้ง เพื่อย้อนกลับ พอกดครั้งแรกมันย้อนมาต้นเพลงให้ก็กด 2 จึ้กซ้ำอีกทีก็จะเปลี่ยนเพลงให้แล้ว)

หูฟังด้านซ้ายมีปุ่ม Power (ปุ่มดำ) ปุ่มเลื่อนระดับ Bass พอร์ทชาร์จ USB-C และรู 3.5 มม. สำหรับเสียบกับสาย AUX

ฟีเจอร์ Tile ตามหาหูฟัง

Crusher Evo ทั้งรุ่นธรรมดาและรุ่น Budweiser ต่างก็มากับฟีเจอร์ที่ฝัง Tile เอาไว้ในตัว โดยปกติแล้ว Tile จะเป็นอุปกรณ์สำหรับใช้ติดตามตำแหน่งที่เอาไว้แขวนกับกระเป๋าหรืออื่น ๆ แล้วใช้คู่กับแอปบนมือถือเพื่อดูว่าตำแหน่งสุดท้ายของ Tile อยู่ตรงไหนก่อนที่สัญญาณมันจะหลุดไปจากระยะมือถือ เราจะได้ตามเจอ แถมยังสามารถสั่งให้มันส่งเสียงออกมาได้ด้วย (หากอยู่ในระยะเชื่อมต่อ)

สำหรับการใช้งานฟีเจอร์นี้ก็ต้องดาวน์โหลดแอป Tile มาติดตั้งบนเครื่องซะก่อน โดยโหลดได้ฟรีทั้งระบบ Android และ iOS เมื่อเข้าแอปครั้งแรกก็ให้เลือกไปที่การเชื่อมต่อกับหูฟัง Skullcandy พร้อมเลือกรุ่นที่เราใช้อยู่ จากนั้นกดปุ่ม Power และปุ่ม Play / Pause พร้อมกัน 1 วินาที ก็จะเป็นการเชื่อมระบบ Tile เข้ากับมือถือเรียบร้อย

 

Sensory Bass เสียงเบส (โคตร) ทรงพลัง

อย่างที่บอกไปแล้วว่า Crusher Evo เป็นหูฟังที่เน้นฟังเพลงสนุก ๆ สไตล์เบสหนัก ๆ เพราะมันมากับเทคโนโลยี Sensory Bass ที่หนักหน่วงจนหัวสั่นแบบจริงจัง (ไม่ได้พูดไปเรื่อยนะ) ซึ่งเราสามารถปรับระดับได้จากปุ่มตรงหูฟัง้านซ้ายว่าต้องการเบสระดับไหน คือปกติปรับไว้กลาง ๆ ก็ตึ้บจนรู้สึกได้แบบชัดเจนว่าเบสมาเป็นลูก ๆ ของจริง แต่อยู่ในระดับที่ยังฟังสนุก ไม่บวมและไม่กลบเสียงย่านอื่น แต่หากปรับขึ้นไปจนสุดแล้วฟังเพลง EDM หรือเพลงอะไรก็ได้ที่มีเบสยาว ๆ จะให้ความรู้สึกเหมือนยืนอยู่หน้าเวที หรือยืนอยู่หน้าลำโพงตัวใหญ่ ๆ เลยล่ะ ซึ่งแรก ๆ ก็จะสนุกดี แต่พอนาน ๆ ไปแล้วจะปวดหัวปวดหูเอาได้ง่าย ๆ

แบตเตอรี่อึดถึกทน 40 ชม.

Skullcandy เคลมว่า Crusher Evo มีแบตเตอรี่ที่ใช้ได้ยาวนานสูงสุดถึง 40 ชม. และหากแบตเตอรี่หมดแต่ไม่มีเวลาชาร์จ ก็มากับระบบชาร์จไวแค่ 10 นาที ฟังต่อได้ถึง 4 ชม.

จากการใช้งานจริงชาร์จเต็ม 100% ครั้งแรกแล้วฟังบนรถไฟฟ้ามาออฟฟิศทุกวัน ไป-กลับ ประมาณ 2 ชม. เป็นเวลา 5-6 วันแล้ว ขีดแบตเตอรี่ที่โชว์บนหน้าจอมือถือยังไม่ลดลงไปเลย คือน่าจะใช้กันได้แบบยาว ๆ จนลืมชาร์จไปได้เลย

 

Skullcandy Sesh Evo (3,590 บาท) ตัวเล็กเสียงไม่เล็ก

ต่อด้วยรุ่นเล็กสำหรับคนชอบหูฟังประเภท In-ear อย่าง Sesh Evo ที่ไปจับมือกับ Budweiser ออกมาเป็นสีแดงทั้งตัวหูฟังและเคสชาร์จ (เคสชาร์จมีโลโก้ Budweiser แปะเอาไว้เด่นเป็นสง่า)

พื้นผิวของตัวหูฟังและฝาเคสเป็นสีแดงขุ่น ๆ มองทะลุไปเห็นเครื่องในได้ ส่วนตรงที่หันออกนอกหูเป็นโลโก้หัวกระโหลกสีดำซึ่งใช้เป็นปุ่มกดสำหรับสั่งการ โดยการกด 1 ครั้ง (ด้านซ้ายหรือขวาก็ได้) จะเป็น Play / Pause กดด้านขวาค้าง 2 วินาที เปลี่ยนไปฟังเพลงถัดไป กดด้านซ้ายค้าง 2 วินาที เพื่อย้อนกลับ (ประสบปัญหาเดียวกับ Crusher Evo เวลาจะย้อนไปฟังเพลงที่แล้ว) กดด้านขวา 2 ทีเพื่อเพิ่มเสียง และกดด้านซ้าย 2 ทีเพื่อลดเสียง

นอกจากนี้ยังสามารถกดเปลี่ยน EQ ได้ 3 แบบด้วย โดยเลือกกดที่หูซ้ายหรือขวาก็ได้ 4 ครั้ง จะเป็นการไล่เปลี่ยน EQ ระหว่าง Music, Movie และ Podcast

และหากต้องการใส่หูฟังเพียงข้างเดียว เผื่อใช้ตอนนั่งทำงานจะได้เหลือหูข้างนึงไว้ฟังคนเรียก Sesh Evo ก็มี Solo Mode ให้ใช้ได้ด้วย ง่าย ๆ ก็แค่เอาหูฟังออกมาจากเคสแค่ข้างเดียว หรือหากตอนแรกใช้ 2 ข้างอยู่ ก็ถอดเอาไปเก็บในเคสซักข้างแค่นี้ก็ได้แล้ว


ใช้ข้างเดียวก็ได้

ใส่หูแน่น ไม่หลุดง่าย แถมกันน้ำ IP55

Sesh Evo มีจุกหูฟังสำรองมาให้เลือกอีก 2 ขนาดตามไซส์ของแต่ละคน จากการใช้งานส่วนตัวคือจุกมาตรฐานที่ให้มาก็สามารถใส่ได้พอดี ไม่หลุดระหว่างใช้งานให้เสียวไส้ทั้งตอนเดินตอนวิ่งตอนปั่นจักรยาน เรียกว่าจะขยับตัวรุนแรงแค่ไหนก็ไม่หลุดแน่นอน และหากจะใช้ตอนออกกำลังก็มั่นใจได้ว่าเหงื่อท่วมแค่ไหนก็ไม่พัง เพราะมันกันน้ำกันฝั่นที่ระดับ IP55 ด้วยนั่นเอง

มีฟีเจอร์ Tile ตามหาหูฟังเหมือนกัน

แม้จะมีขนาดเล็กกะทัดรัดแต่ Sesh Evo ก็ยัดเอาฟีเจอร์ Tile มาให้ด้วยเหมือนกัน แถมยังรองรับการค้นหาจากทั้งข้างซ้าย และข้างขวาเลยด้วย วิธีการเชื่อมต่อและใช้งานก็เหมือนกับ Crusher Evo เลย แค่เข้าไปในแอปแล้วกดปุ่มตามแค่จึ๊กสองจึ๊กก็เรียบร้อย

เสียงฟังสนุก เบสมีพองาม

ตามสไตล์ของ Skullcandy คือหูฟังที่เน้นฟังสนุกจะ Rock, EDM, Pop ก็ได้หมด ด้วยเสียงเบสที่มีพลังพอตัวจนรู้สึกได้ บางเพลงก็ตึ้บมาเป็นลูก ๆ เหมือนกัน และไม่บวมด้วย ส่วนเสียงย่านอื่นก็ชัดเจนไม่ตีกัน ให้รายละเอียดเครื่องดนตรีแยกได้แบบพองาม เอาตรง ๆ คือเทียบกับค่าตัวแล้วไม่ขี้เหร่เลย

แบตเตอรี่ใช้ต่อเนื่องสูงสุด 5 ชม.

สำหรับแบตเตอรี่ยังไม่เคยลองใช้ยาวจนหมดซักที เพราะใช้เสร็จก็เก็บเข้าเคสตลอดมันก็เลยชาร์จไปเรื่อย ๆ ซึ่งตามสเปคบอกว่าตัวหูฟังใช้ต่อเนื่องได้สูงสุด 5 ชม. และหากเอามาชาร์จกับเคสก็จะฟังได้สูงสุดถึง 19 ชม. กันไปเลย

 

Skullcandy Crusher Evo และ Sesh Evo ยังคงเอกลักษณ์ของค่ายเอาไว้เช่นเคยด้วยเบสหนัก ๆ ฟังหนุก ๆ และดีไซน์ถูกใจวัยรุ่น (หรือไม่รุ่นก็ถูกใจได้เหมือนกัน) ส่วนตัวแล้วที่ถูกใจสุด ๆ ก็คือตัว Crusher Evo ที่บอกเลยว่าใครที่ชอบฟังเพลงเบสหนัก ๆ ฟังแล้วสะใจสุด ๆ หูฟังรุ่นนี้จะเป็นอะไรที่โนมากเลยล่ะ ส่วน Sesh Evo ก็เหมาะกับการฟังในชีวิตประจำวันหรือจะใส่ออกกำลังกายก็ยิ่งเพิ่มความมันความสนุกให้มากขึ้นไปได้อีกนะ