ได้เวลาทดสอบพลังของ SuperVOOC แบบเต็มๆ หลังจากที่เราได้เครือง OPPO R17 Pro มาทดสอบกันยาวๆ ก่อนที่จะรีวิว ซึ่งฟีเจอร์แรกที่เป็นจุดขายโดดเด่นกว่าใครที่ระบบชาร์จเร็วที่ใช้เวลาราวๆ 30 นาทีสามารถอัดแบต 3700 มิลลิแอมป์ให้เต็มได้นี่แหละ ว่าแต่ทดสอบออกมาแล้วจะเป็นยังไง เครื่องร้อนไหม น่ากลัวหรือเปล่า ลองมาดูกัน

เทคโนโลยี SuperVOOC นั้นถูกเปิดตัวเป็นครั้งแรกนั้นต้องย้อนกลับไปในงาน MWC 2016 ที่ผมเองก็ได้ไปยืนดูพลังของมันในตอนนั้นด้วย และใช้เวลาในการพัฒนาต่อเนื่องมาโดยตลอด จากที่ได้คุยกับวิศวกรของ OPPO เพื่อสอบถามเรื่องนี้เป็นพิเศษก็พบว่า… ผมฟังไม่รู้เรื่องเพราะเค้าพูดจีน ฮ่าๆ (ล้อเล่น)

image source : forbes

จุดเริ่มต้นของ VOOC Flash Charge

จุดกำเนิดของ VOOC Charge นั้นเริ่มเดิมทีจะผลิตขึ้นมาเพื่อชาร์จแบตคอมพิวเตอร์ เพราะสมัยนั้นคอมพิวเตอร์ต้องชาร์จนานเป็นชั่วโมงๆ แล้วพอถอดออกมาใช้ก็อยู่ได้ไม่ถึง 30 นาที ซึ่งทาง OPPO เองก็มีการพัฒนาสมาร์ทโฟนอยู่แล้ว เลยเริ่มนำเทคโนโลยีนี้มาใช้กับสมาร์ทโฟน และต่อยอดมาเป็น SuperVOOC ในปัจจุบัน

ความแตกต่างของ VOOC และ SuperVOOC

วิศวกรของ OPPO ได้อธิบายเพิ่มเติมว่าระบบ SuperVOOC นั้นเป็นมาตรฐานใหม่ ซึ่งคนละแบบกับระบบ VOOC เดิมที่จ่ายไฟ 20W (5V/4A) ทั้งในเรื่องของการออกแบบวงจรภายใน และอื่นๆ เพื่อให้สามารถจะใช้ไฟเพิ่มจากเดิมกว่า 2 เท่าที่ระดับ 50W (10V/5A) กับสมาร์ทโฟนได้โดยที่ยังปลอดภัย และไม่เกิดความร้อนในตัวแบตเตอรี่ รวมถึงภายในตัวเครื่อง ซึ่งจะแตกต่างกับทุกระบบการชาร์จในปัจจุบันที่เวลาเสียบชาร์จไปก็จะรู้สึกว่าเครื่องมีความร้อนสะสม

ทำไมถึงใช้เวลานานกว่าจะเปิดตัว SuperVOOC

หลังจากมีการพัฒนาระบบชาร์จที่เร็วกว่าเดิมขึ้นมาแล้ว ก็ต้องใช้เวลาในการตรวจสอบในเรื่องของความปลอดภัย และด้วยความที่มันเป็นเทคโนโลยีใหม่ ทาง OPPO ก็เลยเลือกจะเปิดตัวกับ OPPO Find X ซึ่งเป็นซีรี่ส์ที่เอานวัตกรรมล้ำสุดๆ ของค่ายมาใช้ทั้งหมด ซึ่งในช่วงนั้นก็อยู่ในระหว่างพัฒนา หากจำได้เราจะเห็นข่าว Find รุ่นใหม่ผ่านตาโดยตลอด

ความปลอดภัยของ SuperVOOC

เวลาที่หายไปนานนั้นไม่ใช่แค่หาวิธีการที่ดีที่สุด แต่ก็ต้องมาพร้อมกับความปลอดภัยในการใช้งานด้วย ก่อนที่ระบบ SuerpVOOC จะถูกนำมาใช้กับสมาร์ทโฟนอย่าง OPPO Find X Automobili Lamborghini Edition นั้นต้องผ่านการตรวจสอบหลายขั้นตอน และมีระบบการป้องกันไม่ใช้เกิดปัญหาถึง 5 ชั้น ควบคุมโดย 5 ชิป ที่ติดตั้งเอาไว้ตั้งในตัวหม้อแปลง 2 ชิป, ที่สาย USB C อีก 1 ชิป และในตัวเครื่องอีก 2 ชิป และยังมีวงจรอัดประจุ (Charge-Pump) และวงจรลงแรงดัน (Step Down) ที่สามารถลดแรงดันของระบบ Bi-Cell Battery ให้กระแสไฟนั้นไม่เกิน 5A ที่เครื่องจะรับได้

ทดสอบระบบ SuperVOOC

ทาง OPPO เคลมเอาไว้ว่า OPPO R17 Pro ใช้เวลาชาร์จแบตแค่ 10 นาที ก็จะได้แบต 40% ซึ่งเราเองก็ได้ทดสอบแล้วประมาณ 3 ครั้ง ซึ่งก็ผ่านหมด จากแบตราวๆ 1% เสียบชาร์จเข้าไป ราวๆ 10 นาทีก็ปรื้ด ขึ้นมา 40% จริง (อันน้คือเปิดเครื่องชาร์จด้วยนะ)

ซึ่งหลังจากการทดสอบในแต่ละครั้ง เราก็ปล่อยให้เครื่องมันชาร์จต่อไปเรื่อยๆ จนแบตเต็ม 100% ซึ่งใช้เวลาแค่ 30 นาทีโดยประมาณ และที่ตัวเครื่องไม่รู้สึกว่ามีความร้อนเกิดขึ้นเลย สามารถหยิบขึ้นมาได้สบายๆ (เรียกว่าลืมมือถือไว้ในรถบางทียังร้อนกว่าอีก)

หากเทียบกับระบบชาร์จเร็วเดิมๆ หรือทั่วไปในตอนนี้ 80% แรกจะใช้เวลาประมาณ 60 นาที – 90 นาที (แล้วแต่รุ่นและความจุแบต) และเครื่องจะร้อนมากๆ ในช่วงแรกเพราะต้องอัดแบตเข้าไปหนักมาก ส่วน 20% สุดท้ายเครื่องถึงจะเริ่มอุ่นลง แต่จะใช้เวลาในการชาร์จนานมากๆ ราวๆ 30 นาที

นั่นหมายความว่าระบบ Bi-cell battery และการจ่ายไฟที่ OPPO คิดค้นมาใช้กับ SuperVOOC นั้นตอบโจทย์ทั้งการแก้ไขปัญหาความร้อน และระยะเวลาในการชาร์จให้รวดเร็วขึ้น

เป็น Bi-Cell Battery แล้วจะเปลี่ยนแบตยังไง

ในเครื่องมีการใช้แบตเตอรี่ 2 ก้อนจริง แต่ด้วยแผงวงจรและตัวแบตเตอรี่นั้นเป็นชิ้นเดียวกัน เพราะฉะนั้นหากต้องมีการเปลี่ยนแบตก็จะเปลี่ยนทั้งชุด ไม่ได้มีการแยกเป็นก้อนแต่อย่างใด

จะมีอุปกรณ์เสริมเช่น Power Bank ไหม

ตอนนี้ที่เมืองจีนมี SuperVOOC ที่เป็น Power Bank หรือแบตเตอรี่สำรองวางจำหน่ายแล้ว แต่ในไทยจะนำเข้ามาวางจำหน่ายหรือไม่อาจจะต้องมีการพิจารณาอีกที

ข้อจำกัดของ SuperVOOC

ด้วยเหตุผลในเรื่องความปลอดภัยเป็นหลัก ทำให้ระบบวงจรของ SuperVOOC จะทำงานได้ก็ต่อเมื่อใช้หม้อแปลงและสายของ OPPO เท่านั้น หากมีการสลับสาย USB C อันอื่นมาใช้แทน ระบบจะจำกัดการจ่ายไฟออกมาเป็น 5V/2A เท่านั้น จะไม่มีการจ่ายไฟที่สูงกว่านี้เด็ดขาด ไม่เว้นแม้แต่การเอาหม้อแปลงของ VOOC ที่จ่ายไฟได้ 5V 4A มาใช้งาน ก็จะรองรับแต่ 5V/2A เท่านั้น

โปรจอง OPPO R17 Pro

สำหรับใครที่สนใจ OPP R17 Pro ที่มาพร้อมกับพลัง SuperVOOC ตอนนี้ก้สามารถไปจับจองกันได้ โดยหากจองกับตัวแทนจำหน่ายและร้านค้าต่างๆ ก็จะได้ของแถมเพียบ ทั้งประกันจอแตก ขาตั้งชุดใหญ่ รวมกว่า 9,200 บาท

ส่วนโปรจองผ่านเครือข่ายนั้นได้ราคาออกมาค่อนข้างคุ้มค่ากว่ามาก ลดจาก 24,990 บาท เหลือแค่ 9,990 บาทเท่านั้น (ติดสัญญา 12 เดือน) ยังไงลองไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ รวมโปรโมชั่น OPPO R17 Pro