เชื่อว่าหลาย ๆ คนที่ดูคลิป หรืออ่านรีวิวมือถือ อาจจะเคยได้ยินคำว่า “มือถือเรือธง” กันอยู่บ่อย ๆ ซึ่งใครที่ติดตามข่าว IT อยู่ประจำจะรู้ความหมายกันอยู่แล้ว แต่สำหรับใครที่ยังใหม่อยู่อาจจะยังงง ๆ บ้าง สรุปแล้วมือถือเรือธงคืออะไร และการจะเป็นมือถือเรือธงได้ ต้องมีสเปคอย่างไรบ้าง วันนี้เราจะมาช่วยไขข้อสงสัยกัน

รู้จักคำว่า “เรือธง” กันก่อน

หากแปลแบบตรงตัวแล้วคำว่า “เรือธง” แปลมาจากคำว่า “Flagship” ซึ่งเป็นเรือหลักนำทัพในกองเรือรบ และมักจะชูธงชาติไว้ในจุดที่สูงที่สุด และสังเกตเห็นได้ง่าน ซึ่งเรือธงนี้มักจะเป็นเรือที่เร็วที่สุด ใหญ่ที่สุด รวมถึงติดอาวุธเยอะที่สุด  

ในทางธุรกิจคำว่า “เรือธง” จึงมักนำมาใช้กับสินค้าที่ดีที่สุด ราคาสูงที่สุด ใส่เทคโนโลยีหรือนวัตกรรมที่จัดเต็มสุด หรือแม้กระทั่งใช้เรียกสินค้าที่เป็นตัวทำรายได้หลักให้กับบริษัท ซึ่งคำนี้ไม่ได้ใช้กับแค่สินค้าเท่านั้น ยังใช้เรียกหน้าร้านค้าหลัก (Flagship Store) ที่เป็นสาขาที่ใหญ่ที่สุด ของครบที่สุด และเป็นหน้าเป็นตาให้กับตัวแบรนด์

ดังนั้น “มือถือเรือธง” ที่เราได้ยินกันบ่อย ๆ ก็คือมือถือตัวท็อปรุ่นชูโรงของแต่ละแบรนด์ที่มาพร้อมกับสเปคที่จัดเต็มที่สุด ดีที่สุดเท่าที่แบรนด์จะทำได้นั่นเอง ตัวอย่างซีรีส์หลักของแต่ละแบรนด์ เช่น Samsung Galaxy S Series, OPPO Find X Series, vivo  X Series และอื่น ๆ 

จะเป็นมือถือเรือธงได้ ต้องมีอะไรบ้าง?

ชิปต้องแรงที่สุด ใหม่ที่สุด

Snapdragon_8_Gen_2_QRD_Outdoor

ชิปเซ็ตประมวลผลถือเป็นหัวใจหลักที่สำคัญที่สุดของมือถือ และแน่นอนว่าการจะเป็นมือถือเรือธงได้ จะต้องใช้ชิปที่ดีที่สุดและใหม่ที่สุดของปีนั้น ๆ เพื่อจะได้ขับประสิทธิภาพโดยรวมของตัวเครื่องออกมาได้อย่างเต็มที่ เพราะชิปรุ่นใหม่มักมีการปรับเปลี่ยน หรือเพิ่มคอร์ประสิทธิภาพ และคอร์ประหยัดพลังงานหรือเร่ง Clock Speed ให้แรงกว่าเดิม และมักจะใส่ชิปประมวลผลกราฟิก GPU ตัวใหม่มาให้ด้วย 

นอกจากนี้แล้วยังมีการอัปเกรดให้รองรับเทคโนโลยีเชื่อมต่อไร้สายที่เสถียรกว่าเดิม ทำให้ซีรีส์มือถือเรือธงยังคงความสดใหม่ ถึงแม้ในด้านดีไซน์จะไม่ค่อยเปลี่ยนมากซึ่งหากสังเกตดูแล้วมือถือเรือธง Android ทุกแบรนด์มักจะมาพร้อมกับชิป Qualcomm Snapdragon 8 Series และ MediaTek Dimensity 9xxx ซึ่งถือเป็นซีรีส์ที่สูงที่สุดในตลาด ส่วนในฝั่ง iOS ก็ต้องเป็นชิป Apple Bionic ที่รหัสใหม่ที่สุด

กล้องต้องดีที่สุด

กล้องถ่ายภาพถือเป็นอีกหนึ่งจุดขายหลักของมือถือเรือธง หากจะได้ชื่อเป็นมือถือรุ่นท็อปในยุคนี้ จะต้องมีชุดกล้องหลัง 3 ตัวที่ประกอบด้วย กล้องหลัก + กล้อง Ultrawide + กล้องซูม Telephoto และส่วนใหญ่จะต้องมีระบบกันสั่นแบบ Hybrid OIS+EIS  เป็นไฟลต์บังคับ 

อย่างในปีนี้เซนเซอร์กล้องหลักที่ได้รับความนิยมที่สุดในปีนี้ที่คงหนีไม่พ้น IMX989 จาก Sony ที่มีขนาดเซนเซอร์ใหญ่ถึง 1 นิ้ว ที่ทั้ง vivo X90 Pro และ Xiaomi 13 Pro เลือกใช้ หรือถ้าเซนเซอร์ไม่ใหญ่ ก็จะใช้เซนเซอร์ที่ความละเอียดสูง ๆ ระดับ 200MP ซึ่งตัวที่ดังที่สุดก็คือ ISOCELL HP Series จากทาง Samsung

ส่วนด้านซอฟต์แวร์ก็ต้องใส่ฟีเจอร์มาแบบครบเพื่อรีดคุณภาพของฮาร์ดแวร์กล้องให้ได้มากที่สุด ในยุคนี้หลาย ๆ คนจึงได้เห็นแบรนด์มือถือเรือธงมาจับมือร่วมกับแบรนด์กล้องระดับหรู เช่น ZEISS, Hasselblad และ LEICA เพื่อช่วยกันปรับจูนซอฟต์แวร์กล้องให้ได้ภาพถ่ายที่ใกล้เคียงกล้องระดับ DSLR มากที่สุด ให้สมคำว่ามือถือเรือธงนั่นเอง

จอต้องดีที่สุด

แน่นอนว่ามือถือเรือธงต้องมากับจอแสดงผลที่คุณภาพดีที่สุดในตลาด ซึ่งในยุคนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่า ชนิดจอแบบ OLED ถือว่าเป็นที่สุดแล้ว ทั้งในเรื่องสีสัน ความสว่าง แต่อย่างไรก็ตามมือถือเรือธงจะไม่ได้ใช้จอ OLED เกรดเดียวกันกับมือถือราคาถูก ๆ เพราะรุ่นเรือธงต้องมากับเกรดที่สูงที่สุดเท่าที่จะจับมาใส่มือถือได้

Samsung galaxy S23 screen s pen

อย่าง Samsung เองก็ใช้ Dynamic AMOLED 2x ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยี LTPO ที่จะเข้ามาช่วยปรับค่ารีเฟรชเรทให้อัตโนมัติ ตามคอนเทนต์ที่ผู้ใช้งานกำลังใช้อยู่ ณ ตอนนั้น ซึ่งในรุ่น Segment แพงที่สุดจะสามารถดันรีเฟรชเรทได้ต่ำลงถึง 1 – 120Hz เลยทีเดียว 

ในส่วนของมือถือแบรนด์อื่น ๆ พาเนลที่เป็นที่สุดตอนนี้คือ AMOLED E6 ที่นอกจากจะมาพร้อมเทคโนโลยี LTPO แล้ว ยังสามารถเร่งความสว่างได้สูงมาก ๆ ซึ่งตอนนี้ Xiaomi 13 Ultra ทำได้สูงที่สุดอยู่ที่ 2,600 nits นอกจากนี้จอแสดงผลในมือถือเรือธงมักจะมาพร้อมกับมาตรฐานสีที่เที่ยงตรง และมักจะรองรับ HDR10+ และ Dolby Vision ด้วย 

วัสดุต้องดีที่สุด

ในมือถือเรือธงยุคนี้แทบไม่มีบอดี้พลาสติกให้เห็นกันอีกต่อไป เพราะอาจทำให้ภาพลักษณ์ความเป็นที่สุดหายไป โดยส่วนใหญ่มือถือเรือธงจะใช้วัสดุฝาหลังเป็นกระจกทนรอยขีดข่วน เล่นลวดลาย Texture ต่าง ๆ ตามราคาของตัวเครื่อง หรือไม่ก็ใช้วัสดุโลหะแบบยูนิบอดี้ดูเป็นชิ้นเดียวกัน แต่ที่อยู่ในรุ่นราคาแพง ๆ เท่านั้นคือวัสดุหนังเทียม Vegan Leather ที่ในปีนี้สมาร์ทโฟนสุดยอดเรือธงของแบรนด์จีนจะชอบใช้กันมาก ๆ

มือถือเรือธงเดี๋ยวนี้ มีหลาย Segment แต่ละ Segment ต่างกันอย่างไร?

บอกตรง ๆ ว่าในยุคนี้มือถือซีรีส์เรือธงของมือถือหลาย ๆ แบรนด์ก็อาจจะเรียกไม่ได้ว่าเป็นเรือธงเสียทีเดียว เพราะแทบทุกแบรนด์มักจะซอยมือถือซีรีส์เรือธงให้เป็นหลาย ๆ รุ่นย่อย ทำให้ความจัดเต็มอาจจะไม่ได้เต็มเหมือนแต่ก่อน เพราะต้องเก็บที่สุดไว้ให้รุ่นแพง ๆ เท่าที่สังเกตมาตอนนี้มีการซอย Segment ต่าง ๆ ของมือถือเรือธงออกมา ดังนี้  

มือถือเรือธง Budget Flagship (หรือ Flagship Killer)

ราคาประมาณ 20,000 – 25,xxx บาท

Budget Flagship หรือมือถือที่หลาย ๆ คนเรียกว่าเป็นนักฆ่าเรือธง เป็นสมาร์ทโฟนสเปคดีสำหรับคนที่งบค่อนข้างจำกัด และมักจะเริ่มต้นที่เรทราคาประมาณ 20,000 – 25,xxx บาท โดยส่วนใหญ่แล้วรุ่นเรือธงใน Segment นี้มักจะมีความคาบเกี่ยวกับรุ่นระดับกลาง-บน เพราะมีการลดเกรดสเปคบางอย่าง ที่พบบ่อย ๆ ก็เช่นวัสดุที่เปลี่ยนจากวัสดุโลหะหรือกระจก มาใช้วัสดุพลาสติกเพื่อลดต้นทุน หรือมีการลดสเปคจอ หรือตัดกล้องบางตัวออกไปบ้าง แต่ประสิทธิภาพโดยรวมแล้วยังคงเรียกได้อย่างเต็มปากว่าเป็นเรือธง เพราะมักจะมาพร้อมชิปตัวเดียวกันกับรุ่นเรือธงในระดับอื่น ๆ 

ตัวอย่างรุ่นมือถือเรือธงงบประหยัด

Play video

มือถือเรือธง Standard Flagship

ราคาประมาณ 25,000 บาท – 35,xxx บาท

Standard Flagship มักจะเป็นมือถือตัวเริ่มต้นของ Line-Up ที่ใช้เป็นมาตรวัดมาตรฐานมือถือเรือธงในแต่ละปี และมักจะไม่มีนามสกุลต่อท้ายหลังชื่อใด ๆ หากแบ่งรุ่นจอเล็ก จอใหญ่ มักใช้คำว่า Plus หรือเครื่องหมายบวกต่อท้าย 

ด้านสเปคก็ติ๊กถูกทุกข้อ เพราะมักจะมาพร้อมชิปเซ็ตประมวลผลตัวท็อป ตัวเครื่องใช้วัสดุที่มีราคา ได้จอแสดงผลที่ดูดีที่สุดในปีนั้น ๆ ได้กล้องถ่ายภาพแบบครบ ๆ พร้อมฟีเจอร์ใหม่ที่อัปเดตตามรอบปี แต่ในรุ่นมาตรฐานจะแอบมีความหวงสเปคไว้นิดหน่อย เพื่อเก็บไว้ใส่ให้มือถือระดับบน ๆ 

ตัวอย่างรุ่นมือถือเรือธงมาตรฐาน

Play video

มือถือเรือธง Premium Flagship

ราคาประมาณ 35,xxx บาท – 40,xxx บาท

vivo X90 Pro

Premium Flagship เป็นมือถือเรือธงที่มีความจัดเต็ม และขยับราคาขึ้นมาพอสมควร และมักจะประทับตราท้ายชื่อรุ่นด้วยคำว่า Pro  โดยมือถือใน Segment นี้จะเลือกใช้วัสดุตัวเครื่องที่มีความพรีเมียมมากขึ้นอย่างหนังเทียม Vegan Leather แทบจะไม่พบวัสดุพลาสติกในมือถือระดับนี้เลย 

ส่วนหน้าจอแสดงผลบางรุ่นก็อาจเขยิบมาใช้พาเนล LTPO OLED ที่สามารถดันรีเฟรชเรทได้ในระดับต่ำมาก ๆ 1 – 120Hz หรือในบางแบรนด์ก็มีการขยับมาใช้จอกระจกโค้ง 3D เพิ่มความสว่างให้กับหน้าจอ รวมถึงให้จอที่ใหญ่ขึ้นกว่าในรุ่นมาตรฐาน

S23 Ultra Expert RAW Sample

ส่วนด้านสเปคต่าง ๆ ส่วนใหญ่มักจะคล้าย ๆ รุ่นมาตรฐาน แต่ที่สร้างความแตกต่างกับรุ่นมาตรฐานคือด้านกล้องที่อัปเกรดไปใช้เซนเซอร์คุณภาพดี ขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิม เพิ่มความละเอียด Megapixel ให้สูงขึ้น หรือเพิ่มเลนส์ Telephoto มาเสริมให้อีกตัว และบางครั้งก็สงวนฟีเจอร์กล้องระดับเทพเช่นถ่ายภาพ และวิดีโอไฟล์ RAW ไว้ให้เฉพาะในรุ่น Premium ด้วย 

 ตัวอย่างรุ่นมือถือเรือธง Premium Flagship

Play video

มือถือเรือธง Ultra Premium Flagship

ราคาสูงกว่า 40,000 บาท

มือถือเรือธง Ultra Premium Flagship ถือว่าเป็นมือถือที่เรียกได้อย่างเต็มปากว่าเป็น เรือธงของแท้ เพราะแต่ละแบรนด์จะใส่สเปคจัดเต็มทุกด้านเท่าที่เทคโนโลยีในปีนั้นจะทำได้ ได้ทั้งวัสดุตัวเครื่องที่ดีที่สุด กล้องที่ล้ำหน้าที่สุด จอแสดงผลที่จัดเต็ม สว่าง และขอบจอบางที่สุด ได้ฟีเจอร์ครบที่สุด แถมราคาก็แพงสุด ๆ

ซึ่งมือถือที่อยู่ในกลุ่มนี้มักจะใช้ชื่อต่อท้ายว่า Ultra / Pro+ / Pro Max เพื่อแสดงความสุดในทุก ๆ ด้าน หรือถ้าไม่มีรุ่นคั่นกลางก็อาจจะเติมแค่คำว่า Pro มาเฉย ๆ ก็ได้

 ตัวอย่างรุ่นมือถือเรือธง Ultra Premium Flagship

มือถือเรือธง Gaming Flagship

มือถือเรือธง Gaming จะค่อนข้างเฉพาะกลุ่มกว่ามือถือเรือธงธรรมดา โดยจะเน้นจัดเต็มในด้านประสิทธิภาพที่สุดเพื่อให้สามารถเล่นเกมได้อย่างลื่นไหล โดยมือถือเรือธง Gaming มักจะได้ชิปประมวลผลเรือธงที่สดใหม่ และแรงที่สุด มาพร้อมชนิดหน่วยความจำที่สูงที่สุดเท่าที่จะทำได้ อย่างในปีนี้คือ RAM LPDDRx5 และ ROM UFS 4.0 และก็ไม่ใช้แค่ชนิดเท่านั้น ยังรวมถึงเรื่องความจุ ที่ตอนนี้มีถึง RAM 24GB + ROM 1TB แล้วใน Redmagic 8S

ส่วนเรื่องจอแสดงผล และลำโพงก็ต้องเกินมาตรฐานจากมือถือธรรมดา เพราะการเล่นเกมจะต้องใช้จอแสดงผลที่ตอบสนองได้เร็ว ค่ารีเฟรชเรทในจอมือถือเล่นเกมจึงสูงกว่ามือถือเรือธงธรรมดาในท้องตลาดมาก ๆ มีตั้งแต่รุ่นที่รองรับ 144Hz ไปจนถึง 165Hz เลยทีเดียว ส่วนลำโพงก็ต้องเสียงดีมาก ๆ เพื่อให้เล่นเกมกันได้เต็มอรรถรสมากขึ้น

นอกจากเรื่องของประสิทธิภาพแล้ว มือถือเรือธง Gaming ยังเน้นเรื่องของระบบระบายความร้อน Vapor Chamber ที่ต้องล้ำหน้าที่สุด เพื่อลดอุณหภูมิตัวเครื่องไม่ให้ส่งผลกระทบต่อเฟรมเรทในขณะเล่นเกมติดต่อกันนาน ๆ ซึ่งในบางรุ่นถึงกับใส่พัดลมระบายอากาศมาไว้ในเครื่องเลยก็มี

ส่วนด้านดีไซน์ก็เรียกได้ว่าล้ำหน้าไปกว่ามือถือไลฟ์สไตล์ธรรมดามาก ๆ เพราะจะมาในดีไซน์ที่ค่อนข้างดุดันเหมือน Gaming PC และมักจะมีปุ่ม L / R ไว้ใช้กดเหมือนใช้จอยในการเล่นเกม แถมบางรุ่นยังมีไฟ RGB ใส่มาให้เท่ ๆ ด้วย

 ตัวอย่างมือถือเรือธง Gaming Flagship

  • ASUS ROG Phone Series
  • nubia REDMAGIC
  • Xiaomi BlackShark

Play video