ช่วงนี้มีคนคิดจะย้ายจาก iPhone มายัง Android กันเยอะ ด้วยหลากหลายเหตุผลต่างกันไป ไม่ว่าจะราคา iPhone ที่แพงขึ้นทุกวัน, อยากลองอะไรใหม่ๆ, หรือคิดว่า iPhone มันดูเดิมๆขาดนวัตกรรมไป แต่ก็ยังไม่มั่นใจว่าการย้ายมา Android จะมีปัญหาอะไรหรือเปล่า มีอะไรที่จะใช้ไม่ได้บ้าง ส่วนตัวที่ถือทั้ง iPhone และ Android เลยจะขอลองมาไล่ฟีเจอร์ต่างๆให้ได้ทราบกันนะ (Updated 12/10/17 @ 13.40) : เพิ่มเติมอีกสองเรื่องคือ Siri และ AirDrop

ฟีเจอร์ที่ใช้งาน และย้ายข้อมูลมาได้สมบูรณ์ เมื่อย้ายจาก iOS มา Android

รูปภาพ, คลิปวิดีโอ, เบอร์โทร, ปฎิทิน, อีเมล์, Call Log, Message

ข้อมูลพวกนี้แต่ละแบรนด์จะมีการทำแอปช่วยย้ายข้อมูลมาอยู่แล้ว และโดยมากจะใช้งานได้ดีกว่าบน iOS เสียอีก

Gallery – ไม่ต้องไถรัวๆ เพราะมีแถบด้านข้างให้ลากขึ้นลงได้ง่ายกว่า

Gallery in Galaxy Note 5  Gallery in Huawei P10 Plus
ใน Gallery ของ Android หลายรุ่นเวลาไถหารูป ด้านข้างจะมีให้กดลากข้ามได้เลย

ค้นหาเบอร์โทร – ค้นหาได้ด้วย Numpad จะกดเบอร์โทร หรือใช้ T9 ก็ได้

  
สามารถกดหาเบอร์ได้ง่ายกว่าโดยใช้ T9 หรือส่วนนึงของเบอร์ก็ได้

Apple Music – คนที่ใช้ iPhone มาตลอดหลายคนมาก ที่ไม่รู้ว่าบน Apple Music ได้ถูกทำเป็นแอปบน Android แล้ว และไม่อยากเปลี่ยนมาเป็น Android ด้วยเหตุผลนี้เป็นหลัก

Apple Music is on Android
Android ก็มี Apple Music ให้ใช้นะจ๊ะ ชาว iOS

Facebook, FB Messenger ข้อความและโพสต์ทั้งหมดมาได้แบบครบถ้วนไม่มีปัญหาอะไร เพราะ Facebook เค้าเก็บเอาไว้ให้ทั้งหมดอยู่แล้ว

สิ่งที่หลายคนไม่อยากเสียไปมากที่สุดเมื่อย้ายจาก iOS มา Android

ข้อความบน LINEเราอาจจะเคยเห็นการ Backup ข้อความบน LINE ผ่านตามาบ้างแล้ว แต่ว่าการ Restore นั้นยังไม่สามารถทำแบบข้ามแพลตฟอร์ม iOS > Android ได้ จนถึงปัจจุบันยังไม่มีทีท่าจาก LINE ถึงการพัฒนาตัวแอปเพื่อการนี้ คิดจะย้ายมาจริงๆก็คงต้องเตรียมทำใจเสียข้อความ Chat Log ทั้งหมดไป แต่ถ้ามีข้อมูลส่วนไหนในแชทที่จำเป็น เช่น เลขที่บัญชี สถานที่ตั้ง เบอร์โทร อะไรเหล่านี้ เราสามารถกดบันทึกเก็บเอาไว้ในแต่ละแชทได้เลยนะ ด้วยฟีเจอร์ Note หรือ Keep ก็ได้

กลัวว่าข้อความสำคัญจะหาย เก็บเอาไว้ใน Note อยากเก็บไฟล์ที่ส่งมาก็ไว้ใน Keep

Note กับ Keep บน LINE ต่างกันอย่างไร

ในการแชทกับใครสักคน ถ้าเรากดที่ข้อความของเราหรือของคนที่เราแชทด้วย ค้างเอาไว้ จะมีเมนูขึ้นมาให้เลือกว่า Keep หรือ Note ซึ่งบางคนสงสัยว่ามันต่างกันยังไง ก็ขอเอามาแบ่งการใช้งานตามคอนเซปท์ของมันตามนี้ละกัน

Note vs Keep in LINE

Note – ใช้เก็บข้อความ พร้อมแนบรูปภาพ หรือลิงก์ได้ เหมาะกับเวลาต้องการบันทึกข้อมูลสำคัญเอาไว้ เช่น ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ เว็บไซต์ที่แนะนำ ซึ่งข้อมูลที่ถูกจดเอาไว้ใน Note ไม่ว่าจะเครื่องหาย ย้ายเครื่อง หรือข้อความนานแค่ไหนก็สามารถกดเรียกดูอีกครั้ง โดยเราจะสามารถเรียกดูข้อมูลที่จดใน Note ได้เมื่อเราเข้าไปในห้องแชทนั้นๆ

Keep – สามารถเก็บข้อความและภาพได้เหมือนกับ Note แต่เพิ่มขึ้นมาที่สามารถเก็บไฟล์ได้ด้วย ทั้งไฟล์ .txt .pdf .doc และอื่นๆ โดยข้อมูลจะไม่หายไป เรียกขึ้นมาดูได้ใหม่เหมือน Note เลย แต่จะต่างกับ Note ที่การเข้าดูข้อมูลใน Keep ไม่จำเป็นต้องเข้าไปในห้องนั้นๆ เพราะมันจะถูกเก็บแยกเอาไว้อีกที่เลย สามารถโหลดแอปมาใช้แยกได้ด้วย

 

สิ่งที่คุณจะเสียไปเมื่อย้ายจาก iOS มา Android (แต่พอจะมีทดแทนได้)

iOS จะมีจุดเด่นในเรื่องบริการและฟีเจอร์หลายๆอย่างที่บน Android ไม่มี (แต่หลายๆคนอาจจะก็ไม่เคยใช้นะ 555) แต่ก็มารู้หน่อยละกันว่ามีอะไรบ้างที่น่าสนใจ และถ้าย้ายมาแล้วจะพอหาแอปอะไรมาทดแทนกันได้บ้าง ซึ่งในช่วงแรกต้องบอกเลยว่าอาจจะไม่ชิน แต่พอใช้ไปเรื่อยๆก็จะรู้สึกว่าไม่ได้ต่างกันขนาดนั้นนะ

Keyboard – แม้ว่าบน Android จะมี Keyboard มาให้เลือกใช้มากมาย แต่ยังไม่มีคีย์บอร์ดไหนที่ใกล้เคียงกับที่มีบน iOS คือไม่ได้บอกว่าของบน iOS ดีกว่าบน Android นะ เพราะจะพิมพ์คล่อง ช้าเร็ว ยังไงขึ้นกับความเคยชินมากกว่า แต่สำหรับคนที่ต้องการให้คล้ายกับบน iOS ให้ประสบการณ์ใช้งานใกล้เคียงกัน อันนี้จะหายากหน่อย และปัจจุบันต้องบอกว่าการแนะนำแก้ไขคำผิดภาษาไทยบน iOS สามารถทำได้ดีกว่า Keyboard (เกือบ)ทุกตัวบน Android แล้ว อาจจะไม่ได้สมบูรณ์ 100% แต่ก็ดีมากๆละ

แอปคีย์บอร์ดแนะนำบน Android >> Google Keyboard, TSwipe

ตอนนี้ถ้าไม่ได้ถือ Samsung จะเลือกใช้ Google Keyboard เป็นหลักละ ส่วนตัวให้  Samsung Keyboard ดีสุดใน Android สำหรับภาษาไทยและ Google Keyboard รองลงมา

 

iMessage & Facetime – ถ้าคุณเป็นคนที่ใช้ iOS และรายล้อมไปด้วยคนใช้ iOS เชื่อว่าน่าจะได้ใช้ iMessage หรือ Facetime กันบ้างแน่นอน อย่าง iMessage แม้จะไม่ได้ใช้ลูกเล่นมากมายที่มี แต่เมื่อไหร่ปลายทางเป็น iOS ด้วยกันก็อาจจะบังเอิญได้ใช้งานอยู่ (สังเกตจากชื่อสีฟ้า) ส่วน Facetime นี่ถ้าคนในครอบครัว เพื่อนสนิท หรือแฟน ใช้ iPhone ด้วยกันนี่น่าจะใช้ Facetime โทรหากันเป็นหลักแล้วด้วยซ้ำ ถ้าย้ายออกก็อาจจะต้องยอมย้ายไปใช้แอปอื่นทดแทนไป

iPhone Recent Calls

สิ่งที่ชอบมากสำหรับการใช้ Facetime, LINE Call, หรือ Facebook Call บน iOS คือมันจะขึ้นมาอยู่ใน Call Log ให้เลยทันที สามารถใช้โทรกลับไปได้เลย ไม่ต้องเข้าไปที่แอปนั้นๆอีกทีเพื่อหานะ

คุณภาพของการโทรคุยผ่าน Facetime ทั้งเสียงและวิดีโอ ส่วนตัวให้อยู่อันดับ 1-2 เลยนะ  คือทำมาดีมาก ถ้าจำไม่ผิดเห็นว่าเพราะการเข้ารหัส H.265 ซึ่งบริการอื่นโดยมากยังใช้เทคโนโลยีไม่สูงเท่านั่นเอง

แอปโทรหาส่งข้อความแนะนำบน Android >> LINE, FB Messenger (ก็น่าจะใช้กันอยู่แล้วมั้ง)

ส่วนตัวจะเลือก FB Messenger มากกว่า LINE เพราะจากประสบการณ์มันเสถียรกว่า และมันดังไปทุกอุปกรณ์ที่เราล็อคอินเอาไว้อยู่ ไม่ว่าจะคอมหรือมือถือ Android หรือ iOS เรียกว่าโอกาสพลาดรับสายน้อยกว่า แต่สุดท้ายคือใช้ต่างกลุ่มกัน ขึ้นกับว่าคนที่เราโทรหาเป็นหลักว่าเค้าใช้อะไรกันอยู่แหละ

 

iTunes Store นอกจากจะมีเพลงขายแล้ว เค้ายังมีริงโทน และหนังขายในไอทูนส์ด้วย ซึ่งหลังๆเท่าที่สังเกตมีคนซื้อเพลงน้อยลง แต่ไปนิยมแบบ Subscription กันมากขึ้น ไม่ว่าจะ Apple Music หรือ Spotify ก็ตาม หรือที่เยอะสุดก็น่าจะ YouTube ที่ฟังฟรีแถมเลือกเพลงได้ ส่วนริงโทนก็เห็นแต่ใช้ตัวที่มากับเครื่องกันซะมาก จะมีก็หนังบน iTunes นี่แหละที่เป็นไฮไลท์ เพราะหนังค่อนข้างใหม่ 3 เดือนหลังเข้าโรงก็มาโผล่บน iTunes ละ แถมราคาที่เช่าดูก็ถูกกว่าไปดูในโรงเสียอีก มี Apple TV ที่บ้านเปิดดูก็จะฟินขึ้นไปอีกระดับเลยล่ะ

iTunes on iOS

แอปดูหนังใหม่สดจากโรงบน Android >> Google Play Movies (เคยเขียนแนะนำเอาไว้ที่ หนังใหม่ออกโรง ราคาถูกกว่าตั๋ว ดูได้แล้วที่ Google Play Movies ทั้ง Android และ iOS) แต่คุณภาพของไฟล์ และราคาสู้ iTunes ไม่ได้นะ ล่าสุดมีการอัพเกรดให้สามารถดูหนัง 4K HDR ได้ในราคาเท่ากับ HD อีกต่างหาก คือ Google Play ตายไปเลยยย

Google Play Movies - Droidsans

 

AirDrop – การโยนไฟล์ข้ามเครื่องด้วยเทคโนโลยี WiFi Direct ส่งไฟล์ใหญ่ๆหากันได้ในชั่วเวลาอึดใจเดียว ฟีเจอร์นี้หลังๆเห็นผู้ใช้ iOS เริ่มใช้กันอย่างแพร่หลายเป็นปกติ ด้วยความสะดวกและง่ายของการใช้งาน และจำกัดให้ใช้ได้ในวงของ iOS และ MacOS เท่านั้น ถ้าเพื่อนๆในกลุ่มใช้ iPhone กันทั้งหมด จะส่งไฟล์ภาพ หรือคลิปที่ถ่ายแชร์ให้กันก็เป็นเรื่องที่สะดวกสบายมากๆอยู่

แอปโทรหาไฟล์แนะนำบน Android >> SHAREit จริงๆแอปตัวนี้มีให้โหลดได้ทั้ง iOS และ Android สามารถใช้งานแทน AirDrop ได้เลย เชื่อมต่อง่าย และส่งไฟล์ได้รวดเร็วไม่แพ้กัน ข้อเสียเพียงอย่างเดียวคือทั้งสองฝ่ายต้องลงแอปนี้เอาไว้ในเครื่องแล้วเท่านั้น แม้ว่าจะเป็นการส่ง Android – Android ก็ตาม ถ้าจะให้ดีอยากเห็นความสามารถนี้ใส่เข้ามาเป็นส่วนนึงของ Android ไปเลยได้จะดีมาก ให้ส่งไฟล์หากันได้สะดวกกว่าปัจจุบันหน่อย

 

นอกจากนี้ก็ยังมี

Siri – ผู้ช่วยอัจฉริยะที่เราสามารถสั่งงานมันด้วยเสียงได้ แม้ว่าฝั่ง Android จะมี Google Assistant แต่ก็ยังไม่สามารถพูดภาษาไทยได้อย่างบน iOS แต่ไม่ว่าจะ Google Assistant หรือ Siri ก็น่าจะใช้กันไม่แพร่หลายเท่าไหร่มั้ง

Wallet –  ที่ปกติใช้เซฟพวก Boarding Pass เป็นประจำ (แต่หลายสายการบินก็มักจะไล่ให้ไปเอาตัวจริงที่เช็คอินอยู่ดี)

Health – ซิงก์ข้อมูลกับอุปกรณ์ด้านสุขภาพทั้งหลาย ที่น่าจะย้ายข้อมูลไปไม่ได้

Apple Maps, Pages, Numbers, Keynote, iMovie, GarageBand, Apple Services อื่นๆ, รวมถึงอีกหลายๆแอปที่อาจจะมีแค่เพียงบน iOS – ความต้องการใช้งานพวกนี้อาจจะเฉพาะกลุ่ม ยังไงก่อนที่จะย้ายมาก็เช็คดีๆก่อนนะว่าแอปหรือฟีเจอร์ที่เราต้องการ มันมีในเครื่องที่เราสนใจรึเปล่าครับ

การอัพเดทที่ไม่ต้องมาลุ้นว่าจะได้ยาวแค่ไหน เพราะโดยมากจะได้ไม่น้อยกว่า 2 ปี (แต่หลังๆเห็นหลายคนเริ่มไม่ยอมอัพกัน เพราะยิ่งอัพยิ่งช้านะ 555)

ส่วนที่สำคัญที่สุดเมื่อย้ายออกจาก iOS คือเรื่องการเล่นเกม ที่แม้ว่าบน Android จะเล่นได้ไหลลื่นขึ้นมาก ด้วยสเปคที่แรง สามารถประมวลผลได้เร็ว แต่น้อยเกมมากที่บน Android จะได้ประสบกาณณ์ดีกว่า iOS ซึ่งปัญหาก็จะมาจากความหลากหลายของชิปเซต การที่จะปรับแต่งให้เข้ากันกับทุกอุปกรณ์มันเป็นอะไรที่ไม่ง่ายเลย ต่างจาก iOS ที่วันนี้ยังพอนับรุ่นได้ แต่ประสบการณ์ที่ต่างนี้ถามว่ามีผลต่อการเล่นขนาดไหน อันนี้บอกเลยว่าคนที่เก่ง จะใช้ Android หรือ iOS เค้าก็ชนะได้หมดอ่ะ เอามาเป็นข้ออ้างไม่ได้

 

ก็น่าจะประมาณนี้นะ ถ้าใครมีอะไรอยากเสริมก็มาเติมกันได้ และเชื่อว่าหลายๆคนคงจะคันปากอยากจะบอกกันเยอะละว่า ถ้าย้ายมาแอนดรอยด์ คนที่ใช้ iOS อยู่ จะได้อะไรที่คุณไม่เคยสัมผัสบ้าง ขอเชิญสาดมาใส่ในคอมเมนต์กันได้เลย เดี๋ยวรวบรวมมาเขียนเป็นอีก Blog ให้นะ 😉