เทคโนโลยีหน้าจอที่รับแรงกดได้หลายระดับ 3D Touch เปิดตัวพร้อมกับ iPhone 6s เมื่อปีที่แล้ว สร้างความตื่นเต้นให้กับวงการมือถือได้ไม่น้อย
เจ้า 3D Touch หรือ Pressure Sensitive Display ในเครื่องแอนดรอยยังไม่มากนัก เท่าที่รู้ตอนนี้จะมี ZTE Axom mini กับ หัวเว่ย Mate S และ Meizu Pro 6 บอกใบ้ว่าจะมาพร้อมกับหน้าจอ 3D Touch
ล่าสุดจากแหล่งข่าววงใน บอกว่า ปีนี้ผู้ผลิตมือถือจีนหลายๆ ราย จะเอาเทคโนโลยีนี้มาใส่ในสมาร์ทโฟนของตนแล้ว ทั้ง Xiaomi, Meizu, OPPO, Vivo ต่างก็กำลังซุ่มพัฒนาอยู่ ค่ายไต้หวันอย่าง HTC ที่จะทำ Nexus 2016 ก็อยากจะเอา 3D Touch นี้ใส่ลงไปด้วยเช่นกัน แหล่งข่าวยังบอกอีกว่า Google ก็มีแผนที่จะใส่ลูกเล่นนี้ไปเป็นมาตราฐานของ Android อีกด้วย
ตอนนี้อาจจะยังนึกไม่ออกว่ามี 3D touch แล้วจะดียังไง เพราะเครื่องที่เล่นได้ก็ยังมีไม่กี่รุ่น แอพที่เล่นลูกเล่นนี้จึงยังไม่เกิด คงต้องรอดูกันยาวๆละครับ
ที่มา Gizmochina
ไอ่ผมก็ ไม่เคยเล่นของ iPhone 6 S ซะด้วย
ไม่รู้ 3D Touch ต่างจาก จิ้มค้าง อย่างไร
ใช้ iPhone 6S อยู่ ไม่เห็นว่า 3D touch จะช่วยให้ ชีวิตดีขึ้นตรงไหน
มันจะเอามาวัดน้ำหนักได้ไหม ในหน่วยกรัมเลย จะได้ชั่งอาหาร คำนวนแคลลอรี่เปะๆ 555
กลัวน้ำหนักมือตัวเองไม่เที่่ยง จะชวน สับสนมากกว่าครับตัวผม
เชื่อว่าอนาคตมันจะเป็นมาตรฐานของมือถือรุ่นกลาง-สูง
หรืออาจจะทุกรุ่นเลยก็ได้…
เดินตาม Apple รับรองไม่เจ้ง คงเป็นคำอธิบาที่เหมาะ
ระลึกอดีตกันสักหน่อยกับ Multi touch เทคโนโลยีธรรมดาในปัจจุบัน แต่มันสุดแสนน่า Wow ในอดีต ลองย้อนกลับไปยุค จูคลาสสิคโฟน(ยุคเก่าๆไม่เก่าขนาด ขาว ดำ) ของ สมาร์ทโฟน คล้ายว่าจะพยายามเสาะแสวงสรรหา วิธีการควบคุมหน้าจอให้มันใช้งานง่ายที่สุด แต่ด้วยสมัยนั้นหน้าจอ สมาร์ทโฟนส่วนใหญ่จะมีหน้าจอแบบ Resistive จำเป็นต้องมี สไตลัส จิ้มๆ ข้อเสียก็แน่นอนใช้งานสองมือ อายุการใช้งานต่ำ แล้วมีเลเยอร์เยอะลดความงามของภาพลง และสำคัญเลยมันทำงานได้แค่ จุดเดี่ยว ไม่สามารถกดได้ครั้งละ 10 จุดแบบในปัจจุบัน
เรื่องตลกของสมาร์ทโฟนในยุคนั้น ยุค Window mobile และ Symbian(นับมันเป็นสมาร์ทโอเอสด้วยมั้ง) มือถือราวๆ 90% ในยุคนั้นจะใช้จอ Resistive แล้วจะแถมมาด้วย สไตยลัส อารมณ์ก็จะประมาณพวก กาแล๊คซ๊่โน๊ต (แต่เชื่อไหมว่า ยุคนั้นไม่เคยเจอปัญหาเสียบกลับด้านเลย) แต่มันหาได้ จิ้มลาก ดึง ดั่งเช่นยุคนี้ไม่ แต่อย่างก็ดีไสตลัสนั้นจำเป็นมาก เพราะมือถือยุคนั้นจะมีหน้าจอประมาณ 2.8-3.5 นิ้ว และมี คีบร์อดบนหน้าจอแบบเต็มแคร่ ความแน่นนี่ระดับจิ้มลงบนเม็ดข้าวสารเลย ในแต่ละปุ่ม(ยุคนั้นมีพวกที่สามารถจิ้มส่งงานบนรถเมล์ได้ด้วย เฆพขิงๆ เหนือธรรมชาติมาก)
ผู็ปลิตจึงสรรหาวิธีการต่างมาใช้เช่น Jog Dial ของ Sony Ericsson เป็นล้อ หมุนๆแต่โยกขึ้นลงได้ กดลงไปได้ ผมว่ามันก็สะดวกดีนะครับ ปัจจุบันแนวคิดพวกนี้มันล้าหลังยุคหินไปแล้ว หรือ ของเจ้าพ่อความฮาของผู้นำสินค้าไฮเทคในยุคนั้น HTC หลังจากที่เปลี่ยนโฉมจาก Dopod มาเป็น HTC เปิดตัว HTC Diamond กระแสตอบรับดีมากๆ HTC จึงไม่รีรอต่อยอดไปกับ HTC Diamond 2 (หาดูรูปในเอาเอง) มีแถบซูมมาให้ด้วย และหน้าที่ของมันคือมีไว้ซูมภาพ กับซูมเว็บ (แค่นี้แหละ ใส่มาแบบเด่นเลย แถมมีดีไซน์ตรงแถบซูม ยั่งกะไม่บรรทัดโปรเทคเตร์) เป็นที่แน่นอนครับมัน แป๊ก ปิดตำนานงานศิลป์แห่งวงการมือถือไปตามระเบียบตลาด แป๊กก็ดับ
ขณะนั้นวงการต้องสะท้าน แผ่นดินต้องสะเทือน โลกกำลังจะหมุนเร็วขึ้น เอกภพกำลังต้องบิดตัว กับสิ่งที่จะเปลี่ยนโลก(โม้ดี) Apple ในยุคสตีฟจ๊อบ เปิดตัวโทรศัพท์รุ่นแรก มันมีชื่อว่า Motorola Rokr …………………….. …………….. ………….. …………… …………….. ……………. (1ใน10 มือถือที่ฮ่วยที่สุดตลอดการ)
ผิดๆ Motorola Rokr มันเป็นประวิติศาสตร์อันเจ็บปวดที่ Apple อยากเอาจะเอาทิ้งในหลุมดำ เอาใหม่ เอาใหม่
ขณะนั้นวงการต้องสะท้าน แผ่นดินต้องสะเทือน โลกกำลังจะหมุนเร็วขึ้น สิ่งที่เปลี่ยนโลก(เรื่องจริงที่เราต้องยอมรับ) Apple เปิดตัวโทรศัพท์ มันมีชื่อว่า iPhone มาด้วยเทคโนโลยีที่ใหม่หมดจด มาเปลี่ยนทุกอย่างที่เราคุ้นเคย มันโดนทั้งต่อต้านอย่างมาก และก็ถูกต้อนรับอย่างมากเช่นกัน จากการที่กล้าเปลี่ยนขนาดนั้น เช่น
มันถอดแบตไม่ได้ ไม่มีใครกล้าทำมีแต่ทำให้มันแกะยาก(เค้าคงตั้งใจมั้ง) แบตฝั่งลงไปเลย เกิดคำถามว่า แบตหมดจะทำอย่างไร? แบตเสื่อมล่ะ? แบตทนขนาดนั้นเลยเหรอ? คำถามพวกนี้ พี่จ๊อบไม่พูด แถมยังโยน ไข่อิสเตอร์ของไทเรนโนซอรัสลูกใหญ่ให้ สาวกอีก แบตหมดต้องรอจนถึง 10%ก่อนนะจ๊ะหนูๆเครื่องจะเปิดได้ และมันก็ บู้ม!!!! มือถือส่วนใหญ่ตอนนี้เปลี่ยนแบตไม่ได้….
ยูนิบอดี้ งานยากช่างปวดหัว มันเป็นการขึ้นรูปตัวเครื่องด้วยวัสดุเพียงชิ้นเดี่ยว ไร้รอยต่อ(แล้วจะแกะยังไง) วิธีการซ่อมอันประหลาด อุตริ(ในยุคสมัยนั้นมันแปลก) คือต้องดูดจอออกแล้วล้วงเอาไส้พุงมาซ่อม (เหมือนรถพร์อชจะซ่อมต้องแกะกันชนก่อน) ช่างบ่นกันระงม ถึงกับมีช่างดังบางคน ออกมาต่อต้านว่ามันไร้สาระ แต่แล้วทุกวันนี้ก็ประดั่งว่ามันเป็นเรื่องปกติ และ ถ้าคุณใช้มือถือนอกจาก iPhone กับ Samsung แล้วคุณจะยินคำพูดที่ว่า "ซ่อมไม่ได้ครับ" จนชินหู
เปลี่ยนหน้ากาก(ขายของเพิ่ม)ไม่ได้ แต่ความแฟนซียังอยู่ เหมือนต้องยกวลีหนึ่งขึ้นมา ดักแก่ มาใช้สาวกโนเกียนี่ต้องเข้าใจดี 3310 ของท่านสามารถเปลี่ยนหน้ากากได้แบบไร้ข้อจำกัด ยกกันมาทุกค่าย ทุกเฉด ทุกสี ทุกลาย ทุกแบบ มีให้เลือกกันไม่หวาดไม่ไหว ชนิดที่เรียกได้ว่าเดินตลาดนัด ทั้งตลาดนัดขายหน้ากากมือถือกันเป็นล่ำเป้นสัน แต่กับ iPhone ทำไม่ได้ แต่ความชิคของ iPhone อยู่ที่เคส แรกๆ Apple ขายเอง หน้าตา สีสันก็ ทึ่มๆทึมๆ แต่แล้วมันก็พัฒนาการมาสู่ น้ำหอมซาแนล จนซากมือซอมบี้ เคสบางอันใหญ่กว่ามือถือทั้งโหลมามัดรวมกัน
ยังมีอีกมากมาย แต่ที่คือจุดเด่นมากๆเลยในด้านเทคโนโลยีบน iPhone จนผู้คนต้องการมันอย่างมากมาย เกิดเป็นแส iPhone และ มันพลิกโฉมให้แอนดรอยต้องเปลี่ยนแผนตัวเองจากมือถือปุ่มเยอะ เป็นโล้นเรียบ แบบ iPhone และเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ Microsoft ต้องโละ Window CE ซีรี่ให้จบลงที่ Window mobile 6.8 เพราะมันโบราณเกินกว่าจะต่อกรกับเทคโนโลยี สุดล้ำที่ Apple นำเสนอเหล่าโฮโมโซเปี้ยนได้ นั้นคือ Multi touch จะซูมถาพ หรือ คอนเท้น ก็แค่ จิ้มนิ้วลงไปแล้วแหกออก วูบๆ หนีบเข้าเพื่อหดภาพ เหวออออออออออออออออออ นี่มันเป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้น อลังการแต่แรกเห็น แน่นอน อิมเพสชั่นที่ Apple ใช้นี่มัน สามารถสะกดทุกคนให้เกิดแรง ปราถณาในตัวสินค้าได้ราวกับ มนตรา ในคำจำกัดความว่า Pinch to Zoom
ในแง่ของ ตลาด Multi touch และ Pinch to Zoom กลายเป็นของมาตรฐานมือถือ แม้แต่ระดับ Super Eco ยังมีให้เลยกับฟังชั่นนี้ ย่อมต้องดื้นลนหาสิ่งใหม่นำเสนอลูกค้า เพื่อสนองความกระหายของตลาด แต่มันจะเปรี้ยงปร้างแบบ Multi Touch หรือไม่ คงพูดได้ในตรงนี้ว่า ไม่อย่างแน่นอน เพราะiPhone ต่างจาก แอนดร์อยในเรื่องของ การสร้างอุปกรณ์ Apple เป็นเจ้าเดี่ยว ทำเอง พัฒนาเอง ขายเอง คือพูดง่ายๆคือ มันจบขั้นตอนลงได้ด้วยตัวเอง แต่แอนดรอยนั้นต่างออกไป ไหนจะผู้ผลิตชิ้นส่วนนับพันราย ไหนผู้ผลิตมือถือที่จะมามิกซ์แอนแมชกัน ยัดออกมาเป็นเครื่องได้แล้ว ยังต้องมี App รองรับอีก เพราะถ้าจะยัดลงไปใน ระบบหลักเลย ก็ต้องมาไล่ดูกันอีกว่า มันจะต่างจาก จิ้มค้างไว้ตรงไหน หลักการมันจะว่าไปแล้วก็คล้ายๆกัน(ดูงานเปิดตัวสิครับ นักข่าวยังทำหน้า งง และสะท้อนให้เห็นเลยว่าจะต้องการพูดว่า คือ อะไรของAppleวะ)
เอาง่ายๆเลยผมรู้สึกแปลกใจเล็กๆว่า ของแบบนี้มีคนบ้าจี้ทำตามด้วยเหรอ มันยังขาดความชัดเจนไปหน่อยกับ 3D touch ก็คงจะมาทำนอง กล้องคู่ จอคู่นั้นแหละครับที่มีคนว่า
มีแล้วไม่ได้ใช้ แต่กว่าจะใช้แล้วไม่มี
ในตำนานมากครับ
ฮาตรง "ยุคนั้นไม่เคยเจอปัญหาเสียบกลับด้านเลย" 555+
คนเริ่มก่อน เขารู้ว่าตัวเขาต้องการเอา 3D touch ไปทำอะไร
แต่ไอ้คนลอกเนี่ย รู้หรือยังว่ากำลังลอกอะไรอยู่
ก็คงต้องดูกันต่อไป 3D touch มันจะมาแทนความรู้สึกแบบกดปุ่มจริง ๆ ได้ไหม
แบบปุ่ม LT กับ RT บนจอยเกมส์ กดแล้วรู้สึกว่าค่อย ๆ ยุบตามแรงกดจริง ๆ
หรือว่า กระแสการกดแรง ๆ จะทำให้โจมตีแรงขึ้นกำลังมา (มุข OPM)
Forcetouch เป็นฟังก์ชั่นที่ผมไม่สนใจเลยครับ
ไม่เคยคิดว่าต้องกดหน้าจอมือถือแรง ๆ ให้มันทำงานอีกแบบเลย
กลัวหน้าจอจะพังมากกว่า T_T ยอมเลือกเมนูช้า ๆ เอาก็ได้
อีกอย่างน้ำหนักมือนี่บางทีลงไปแบบไม่ได้ตั้งใจ
กลายเป็นทำงานไม่ตรงตามต้องการแทน
แต่อาจจะดีก็ได้นะ ต้องกดอย่างมีสติเสมอ – -.
แต่ถ้าเป็นการวาดรูปแล้วเส้นหนาตามน้ำหนักมือ อันนั้นก็โอเคครับ
ซึ่งมันคงคนละเทคโนโลยีกัน 😛