บริการเรียกรถอย่าง Uber และ Grab ในบ้านเรานั้นอยู่ในช่วงคาราคาซังในเรื่องของกฎหมายและการให้บริการกันอยู่ซึ่งยังจบไม่ลงซักที เราลองมาดูการจัดการของประเทศที่เปิดให้บริการแล้วเช่นสหรัฐ ซึ่งทางรัฐ Massachusetts เพิ่งประกาศกฎหมายในเรื่องนี้ใหม่ โดยเน้นความเข้มงวดในการตรวจสอบประวัติผู้มาขับรถในบริการอย่าง Uber และ Lyft ให้มากขึ้น ล่าสุดถูกปฎิเสธใบอนุญาตไปกว่า 8,000 ราย 

Uber

รัฐ Massachusetts ได้ประกาศกฎหมายฉบับใหม่เกี่ยวกับบริการเรียกรถโดยสารอย่าง Uber และ Lyft เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา บังคับให้ผู้ขับขี่ทุกคนต้องผ่านการตรวจสอบประวัติ 2 รอบ จากบริษัทที่เปิดให้บริการหนึ่งรอบ และหน่วยงานรัฐจะทำงานตรวจเช็คประวัติอีก 1 รอบ ซึ่งหลังจากกฎหมายนี้ถูกบังคับใช้ก็พบว่าจากผู้ให้บริการขับขี่ 70,789 ราย ถูกปฎิเสธใบอนุญาตไปถึง 8206 ราย ตามรายงานการตรวจสอบของรัฐพบกว่า 100 คนมีประวัติเคยเกี่ยวพันกับอาชญากรรมมาก่อน ทั้งความรุนแรง การล่วงละเมิดทางเพศ และเมาแล้วขับ โดยมี 51 คนที่โดยเป็นผู้ต้องหาคดีกระทำชำเราด้วย

Uber นั้นเคยประสบปัญหาในเรื่องของการตรวจสอบประวัติคนขับมาก่อนหน้านี้ในปี 2014 หลังจากพบว่ามีคนขับ 25 คนใน Los Angeles และ Sanfrancisco เกี่ยวพันกับคดีอาชญากรรม

งานนี้ทั้ง Uber และ Lyft ต่างออกมาบ่นเรื่องกฎหมายใหม่ของรัฐ Massachusetts ที่มีการตรวจสอบประวัติย้อนหลังนานเกินไป โดยทาง Uber และ Lyft นั้นสามารถตรวจสอบข้อมูลย้อนหลังได้ 7 ปีเท่านั้น แต่ทางรัฐไม่มีข้อห้ามในเรื่องระยะเวลา นั้นทำให้ผู้ขับหลายๆ คนที่อยากจะกลับตัวกลับใจมาทำงานจริงๆ จังๆ ก็โดนกีดขวางและปิดโอกาสไปด้วย

source : engadget

ถ้ามองจากข่าวนี้แล้วนำมาเทียบกับบ้านเรานั้นประเด็นสำคัญที่สุดก็คือเรื่องของความปลอดภัย ในตอนนี้ผู้มาขับขี่ให้บริการทั้ง Uber และ Grab นั้นมีการตรวจสอบประวัติผู้ขับขี่ได้มากน้อยแค่ไหน ทางบริษัทสามารถไปขอประวัติต่างๆ จากหน่วยงานไหนได้บ้างหรือเปล่า? เช่นหน่วยงานจราจรหรือตำรวจ ซึ่งถ้าทำไม่ได้นั่นหมายถึงไม่สามารถตรวจสอบประวัติคนขับได้เลย (อันนี้รวมถึงพวกอู่แท็กซี่ที่รับคนขับมั่วๆ ซั่วๆ ด้วย) นั่นทำให้บริการเหล่านี้จะดูอันตรายขึ้นมากทันที เพราะพอไม่มีกฎหมายรองรับ การเกิดอุบัติเหตุหรือเกิดเรื่องอะไรขึ้นมานี่ เราจะเสียเปรียบทันทีเพราะเราไม่สามารถจะไปเรียกร้องผลประโยชน์หรือเอาประกันภัยต่างๆ ได้

ผมเองคงไม่ปฎิเสธเรื่องของความสะดวกสบายของบริการเรียกรถในบ้านเรา (ถึงแม้ปกติผมจะนั่งแท็กซี่บ่อยกว่าเรียกผ่านแอพก็ตามที) เพราะหลายๆ ครั้งในจุดพีค หรือจุดดักชาวต่างชาตินั้นคุณจะเจอปฎิเสธตลอดเวลาก็ตาม แต่การที่สามารถหากฎหมายมารองรับได้เร็วขึ้น และร่วมมือกับหน่วยงานรัฐได้เต็มรูปแบบ มีการตรวจประวัติคนขับจริงจัง ยิ่งจะทำให้บริการเรียกรถผ่านแอพอย่าง Uber และ Grab มีความปลอดภัยและน่าเชื่อถือมากขึ้นด้วย