บริการเรียกรถหรือเรียกแท๊กซี่ผ่านแอปในบ้านเราตอนนี้ก็มีแค่ 2 แอปที่นิยมและมีคนใช้มากที่สุดคือ Grab และ Uber แต่อีกไม่นานอาจจะเกิดความเปลี่ยนแปลงเมื่อมีรายงานว่าตอนนี้ Grab กำลังเจรจาเข้าซื้อกิจการของ Uber ในแถบบ้านเราหรือภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แล้ว

Grab และ Uber นั้นเริ่มการแข่งขันกันไปในสิงคโปร์เป็นที่แรกในปี 2013 ก่อนที่จะขยายไปทั่วภูมืภาคเอเชีตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศไทยด้วย ซึ่งในช่วงแรกของการแข่งขันนั้น Uber ได้เปรียบกว่าเพราะมีชื่อเสียงมาก่อน ด้าน Grab เองก็พยายามปรับตัวและให้บริการในรูปแบบที่ตอบโจทย์กับคนทั่วไป เช่นการจ่ายค่าโดยสารด้วยเงินสด รวมถึงมีการดูแลคนขับ ทั้งการสอนการใช้งาน และส่วนลดในการซื้อสมาร์ทโฟนมาเพื่อใช้ในการให้บริการ

ปีที่ผ่านมา Grab โชว์ตัวเลขว่าสามารถครองตลาดบริการเรียกแท๊กซี่ไปได้ถึง 95% และเรียกใช้บริการรถทั่วไป 71% ด้าน Uber เองกลับไม่มีแถลงการอะไรเกี่ยวกับการให้บริการในแถบภูมิภาคนี้ออกมาเลย

การที่ Grab จะเข้าซื้อกิจการของ Uber นั้นหลายๆ คนอาจจะตกใจ แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไร เพราะก่อนหน้านี้ Uber เองก็ยอมถอนตัวจากตลาดในจีน โดยมีการขายธุรกิจให้กับ Didi บริการเรียกรถรายใหญ่ และเข้าไปถือหุ้นแทน ซึ่งการรวมตัวนั้นมี Softbank ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริการเรียกรถแทบทุกค่ายคอยประสานและช่วยเหลืออยู่ (Softbank มีหุ้นอยู่ใน Didi, Grab และ Uber)

Softbank มองเห็นว่าการรวมกิจการ Grab และ Uber ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เข้าด้วยกันนั้นน่าจะทำประโยชนืได้มากกว่า สอดคล้องกับ CEO คนใหม่ของ Uber ที่เคยออกมาเปรยว่าธุรกิจเรียกรถในแถบนี้น่าจะต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะทำกำไร น่ั่นทำให้โอกาสในการควบรวมกิจการเป็นไปได้มากขึ้น

แต่สำหรับผู้ใช้งานอย่างเราๆ ก็ไม่ต้องตกใจว่า Uber จะหายไปนะครับ เพราะหากเปิดการซื้อกิจการขึ้นมาจริงๆ นั้น จะเป็นการควบรวมเฉพาะระบบหลังบ้านเท่านั้น แต่ยังมีแอปทั้ง Uber และ Grab ให้บริการเหมือนเดิม เรียกว่าเป็นการลดค่าใช้จ่ายในส่วนของการดูแลระบบที่ตอนนี้แยกกันเป็น 2 บริษัทมากกว่า

 

source : vulcanpost