หลังจากการเข้ามาของ Grab, Uber, และ LINE TAXI ส่วนตัวได้เห็นพี่ๆคนขับมีการปรับตัวใช้งานเทคโนโลยีกันมากขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าช่วงแรกอาจจะเห็นพี่เค้างงๆกับการใช้งานกันบ้าง แต่เดี๋ยวนี้คล่องปร๋อกันสุดๆ ซึ่งบางคนต้องบอกว่าเห็นแล้วมีตกใจเบาๆว่ามีกันเยอะเบอร์นี้เลยเหรอเนี่ย บางอย่างดูไม่ออกว่าคืออะไร วันก่อนเลยลองคุยกับพี่เค้าดูก็ได้คำตอบและคิดว่าเออพี่เค้าเจ๋งดีนะ แต่ละอย่างตอบโจทย์ชีวิตพี่ๆเค้ามากทีเดียว

อย่างแท็กซี่ตามภาพข้างต้นนี้เค้ามีอุปกรณ์หลักๆที่ติดเอาไว้อยู่ 4 ชิ้น ซึ่งแต่ละชิ้นก็มีประโยชน์และหน้าที่ที่แตกต่างกันไป

  1. เกจ์วัดค่าต่างๆ : วันๆนึงแท็กซี่เค้าวิ่งกันหลายร้อยถึงพันกิโล ทำให้อัตราการสึกหรอของเครื่องนั้นมีมากกว่ารถปกติทั่วไป การมีเกจ์เหล่านี้จะช่วยทำให้คนขับสามารถรับทราบถึงความผิดปกติของรถได้ก่อนที่จะเกิดปัญหา ซึ่งค่าซ่อมจะมีต่างกัน โดยค่าที่อ่านได้นั้นจะขึ้นกับเกจ์ที่ซื้อมา โดยมีให้เลือกทั้งอุณหภูมิหม้อน้ำ ปริมาณแบตเตอรี่ แรงดันน้ำมันเครื่อง และอื่นๆ เกจ์เหล่านี้จะทำการต่อตรงเข้าไปที่ตัว ECU (Electronics Control Unit) ของรถเรานั่นเอง
  2. HUD : หรือ Head Up Display หน้าจอบอกข้อมูลของรถเราทั้งความเร็ว รอบเครื่อง หรืออัตราประหยัดน้ำมัน ให้สะท้อนขึ้นบนกระจกหน้ารถ แสดงผลกันแบบล้ำๆไปเลย แต่เห็นว่าใช้งานได้เวลากลางคืนเป็นหลักนะครับ ตอนกลางวันแดดจ้าเกินไปอาจจะทำให้ไม่เห็นได้
  3. สมาร์ทโฟน 1 : รับงาน เปิดแผนที่ โดยพี่เค้าจะรับทั้ง LINE MAN, Grab นั่นแหละ กล่าวคือ โปรของฝั่งไหนแรงกว่าก็จะรับงานของทางฝั่งนั้นเป็นหลักนะ มี incentive ให้กันเยอะพอสมควรเลย บางเดือนเห็นว่าได้กันเกินห้าหมื่นได้เหมือนกันครับ
  4. สมาร์ทโฟน 2 : สำหรับติดต่อสื่อสารเป็นหลัก โดยจะใช้คุยโทรศัพท์ และเปิดแอป Zello ไว้ตลอด โดยแอปนี้เค้าบอกว่าไว้สำหรับติดต่อเป็นแบบ Walkie Talkie ซึ่งจะมีกลุ่มของคนขับที่คอยแชร์ข้อมูลกันตลอดเวลาอยู่ มีอะไรใหม่ๆ ตรงไหนมีเรียกงานก็สามารถกดตามกันได้เลย
in-car technology of thai taxi

อีกสักภาพให้เห็นกันแบบชัดๆ

โดยพี่คนนี้เรียกผ่าน Grab Taxi นะครับ ทำให้ไม่ต้องจ่ายเงินแล้วรอตังค์ทอนแต่อย่างใด แต่ถ้าใครเจอพี่คนนี้แบบไม่ได้เรียกผ่านแอปแล้วก็ไม่เป็นไร สามารถขอจ่ายด้วยพร้อมเพย์ได้นะครับ เป็นไงครับล้ำมั้ยล่ะพี่คนนี้ ถ้าเกิดว่าใครอยากจะติดอะไรแบบนี้บ้างนั้น ก็สามารถซื้อมาติดเองได้นะครับ โดยเจ้าเกจ์และ HUD นี้เห็นขายกันราวๆ 1-2 พันบาทต่อตัวก็ติดได้แล้วครับ

ใช้กันแต่พอดีนะครับ ติดสมาร์ทโฟนมากเกินไปก็อาจจะดูอันตรายไปนิดนึงตอนให้บริการ

แต่อย่างไรก็ดีก็มีแท็กซี่ที่ใช้เทคโนโลยีอย่างไม่เหมาะสมเท่าไหร่นัก เช่นพี่คนนี้ที่เค้าจะเปิดหนังดูตลอดเวลา ทำให้บางทีเกิดอาการขับส่าย นั่งแล้วรู้สึกอันตรายไม่น้อยเลยทีเดียวครับ

ก็เป็นเรื่องราวดีๆของการเอาเทคโนโลยีไปใช้ของพี่แท็กซี่แต่ละคนที่เจอมานะครับ ส่วนตัวประทับใจกับการนำเอาไปใช้ในแบบของเค้ามากๆ และคงจะดีถ้าเกิดว่ามีการปรับเอาไปใช้กันเยอะๆและแพร่หลาย น่าจะดีกับทั้งผู้โดยสารและตัวคนขับเองเลยล่ะ ถ้าเกิดว่าใครให้เยอะกว่านี้ มีเจอใครล้ำกว่าที่ผมเจอมาก็เอามาแชร์กันได้นะครับ 🙂