Apple AirTag และ Galaxy SmartTag+ อุปกรณ์ติดตามอัจฉริยะที่ใช้เทคโนโลยี UWB เหมือนกัน แต่มีอะไรต่างกันบ้าง?

ในงาน Spring Load ที่ผ่านมา Apple ได้เปิดตัวทั้ง iPhone 12 สีม่วง, iPad Pro 2021, iMac 2021 แล้ว ยังได้เปิดตัวอุปกรณ์ติดตามอัจฉริยะอย่าง AirTag อีกด้วย ซึ่งเจ้าอุปกรณ์ติดตามตัวนี้มีความสามารถในการเชื่อมต่อกับ iPhone รุ่นที่รองรับเพื่อใช้ในการระบุตำแหน่งของตัว AirTag ว่าอยู่ตรงไหน เมื่อเราเอาไปติดไว้กับกระเป๋า, สัตว์เลี้ยง หรืออื่น ๆ ที่มักจะหาไม่เจออยู่บ่อย ๆ พอเปิดมือถือมาก็จะรู้ตำแหน่งของ AirTag ได้ทันที โดยอุปกรณ์ดังกล่าวจะมีรูปแบบการใช้งานที่คล้ายกับ Galaxy SmartTag ของ Samsung ที่เปิดตัวไปเมื่อเดือนมกราคมมาก ๆ…ว่าแต่มันเหมือนและแตกต่างกันตรงไหนบ้างล่ะ?

การทำงานของ Apple AirTag และ Galaxy SmartTag+

การระบุตำแหน่งระยะใกล้แบบแม่นยำด้วย UWB

ทั้ง Apple AirTag และ Galaxy SmartTag+ เป็นอุปกรณ์ติดตามอัจฉริยะที่มีการทำงานคล้าย ๆ กัน ด้วยการใช้เทคโนโลยี UWB หรือ Ultra Wideband ร่วมกับ Bluetooth ทำให้มีความแม่นยำสูงกว่าอุปกรณ์ติดตามอื่น ๆ ที่ใช้เทคโนโลยี Bluetooth อย่างเดียว (SmartTag รุ่นธรรมดาไม่มี UWB) แต่จะมีข้อจำกัดตรงที่หากต้องการใช้ระบบติดตามแบบแม่นยำ ก็จะต้องใช้กับมือถือที่รองรับ UWB ซึ่งตอนนี้ยังมีอยู่ในตลาดไม่กี่รุ่นเท่านั้น

UWB ที่สามารถระบุตำแหน่งได้แม่นยำถึงระดับเซนติเมตร

การระบุตำแหน่งระยะไกลแม้ Tag อยู่ในสถานะ Offline

AirTag และ SmartTag ไม่จำเป็นต้องเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตหรือเชื่อมต่อกับมือถือก็ยังสามารถระบุตำแหน่งล่าสุดได้อยู่ดี เพราะ AirTag จะคอยส่งสัญญาณ Bluetooth ผ่านโครงข่าย Find My เข้าไปที่อุปกรณ์ iOS ที่อยู่ในระยะ ส่วน SmartTag+ ก็จะคอยส่งสัญญาณ Bluetooth ผ่านโครงข่าย SmartThings Find เข้าไปที่มือถือ Galaxy ที่อยู่ในระยะเหมือนกัน

เมื่ออุปกรณ์ iOS และ Galaxy ของผู้ใช้งานคนอื่น ๆ ที่รับสัญญาณของ Tag ในบริเวณนั้นได้ ก็จะแจ้งเตือนไปยังเซิร์ฟเวอร์ของ Find My หรือ SmartThings Find เพื่อแจ้งตำแหน่ง Tag ของเราให้รู้ทันที จากนั้นเราก็เปิดแผนที่เพื่อกลับไปตามของคืนได้เลย

นอกจากนี้ข้อมูลตำแหน่งของ Tag, ตำแหน่งของมือถือที่อยู่บริเวณรอบ ๆ หรือตำแหน่งของมือถือเจ้าของ Tag จะถูกเข้ารหัสเอาไว้ภายในเซิร์ฟเวอร์ และจะถูกลบทิ้งไปในเวลาไม่นานหลังจากที่เลิกใช้งานระบุตำแหน่งด้วย ไม่ต้องกลัวว่าใครจะแอบเข้าถึงข้อมูลตำแหน่งแล้วตามตัวเราเจอนั่นเองครับ

โอกาสในการหา AirTag และ SmartTag เจอ (ขณะอยู่ในสถานะ Offline)

แม้ว่าทั้ง AirTag และ SmartTag จะมาพร้อมกับความสามารถในการระบุตำแหน่งระยะไกลได้แบบไม่ต้องเชื่อมอินเทอร์เน็ต ด้วยการส่งสัญญาณ Bluetooth จากตัว Tag ไปหาอุปกรณ์ที่รองรับรอบ ๆ ตัว แล้วจึงส่งสัญญาณต่อไปที่เซิร์ฟเวอร์เพื่อแจ้งตำแหน่งของ Tag มาที่อุปกรณ์ของเราอีกทีนึง แต่โอกาสในการที่ Tag จะส่งสัญญาณหาอุปกรณ์ที่รองรับได้ก็ต่างกันนะครับ

AirTag

สำหรับ AirTag ที่ต้องอาศัยอุปกรณ์จาก Apple เพื่อช่วยรับสัญญาณ Bluetooth แล้วส่งต่อไปยังโครงข่าย Find My โดยตามที่ Apple ได้เคยให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว Reuters เอาไว้ว่าตอนนี้มีผู้ใช้งาน iPhone มากกว่า 1.6 พันล้านเครื่องทั่วโลก และยังมี iPad และ MacBook อยู่อีกหลายร้อยล้านเครื่องที่สามารถรับสัญญาณ Bluetooth จาก Tag ได้ ทำให้โอกาสที่ AirTag จะถูกหาเจอเป็นไปได้สูงมากเลยทีเดียว

โดยอุปกรณ์ที่รองรับการใช้งานโครงข่าย Find My จะต้องใช้ระบบ iOS 13 ขึ้นไป, iPadOS และ macOS Catalina ขึ้นไป

SmartTag / SmartTag+

ส่วน SmartTag และ SmartTag+ จะต้องอาศัยการส่งสัญญาณเข้าอุปกรณ์ Galaxy ทั้งมือถือและแท็บเล็ตที่ใช้ระบบ Android 8 ขึ้นไป ซึ่งเอาจริง ๆ ก็มีจำนวนที่ไม่น้อยเหมือนกัน (อ้างอิงจากจำนวนมือถือ Samsung Galaxy ที่มีส่วนแบ่งการส่งออกในตลาดทั่วโลกเป็นอันดับ 1 ของช่วงไตรมาสแรกปี 2021) แต่จะเสียเปรียบอยู่บ้างตรงที่มันส่งสัญญาณ Bluetooth ไปหาได้เฉพาะมือถือ และแท็บเล็ตของ Samsung เท่านั้น ในขณะที่ AirTag นอกจากจะส่งสัญญาณไปที่ iPhone, iPad ได้แล้วยังสามารถส่งสัญญาณไปหา MacBook ที่มีคนใช้อีกหลายล้านคน เพิ่มโอกาสที่จะมีการค้นหา AirTag เจอได้มากขึ้นไปอีก

แต่สรุปแล้วโอกาสในการค้นหา Tag จากระยะไกลของทั้ง AirTag และ SmartTag ก็ยังขึ้นอยู่กับปัจจัยหลาย ๆ อย่าง เพราะบางทีเราอาจทำของที่มี AirTag ติดไว้ ตกอยู่บริเวณที่ไม่มีใครใช้อุปกรณ์จาก Apple เลยก็ได้ กลับกันของที่มี SmartTag ติดอยู่ก็อาจจะไปตกบริเวณที่ไม่มีคนใช้มือถือหรือแท็บเล็ต Galaxy ได้เหมือนกันครับ

ฟีเจอร์ Apple AirTag

AirTag ใช้เทคโนโลยี UWB ในการค้นหาตำแหน่งแบบแม่นยำ (Precision Finding) ซึ่งตอนนี้รองรับการใช้งานเฉพาะ iPhone 11, iPhone 11 Pro, iPhone 11 Pro Max, iPhone 12, iPhone 12 mini, iPhone 12 Pro, iPhone 12 Pro Max และสำหรับ iPhone รุ่นเก่ากว่าที่ไม่มี UWB ก็ยังสามารถใช้งานได้เหมือนกัน แต่จะใช้ได้เฉพาะการระบุตำแหน่งด้วย Bluetooth เท่านั้นครับ (ต้องระบบ iOS 14.5 ขึ้นไป)

แต่จะมีข้อสังเกตอยู่นิดนึงคือรูปร่างของ AirTag จะเหมือนกับเหรียญ ไม่มีรูไม่มีห่วงอะไรให้เกี่ยวกับกระเป๋า หรือของอื่น ๆ ได้เลย…ถ้าหากต้องการเอาไปแขวนกับพวงกุญแจ หรือสายกระเป๋า ก็ต้องไปหาซื้ออุปกรณ์เสริมกันเอาเองนะ (มีสายคล้องให้เลือกทั้งแบบถูก ๆ ไปจนถึงแบบที่แพงกว่าตัว AirTag ก็มี)

ระยะค้นหาผ่าน Bluetooth : ไม่ระบุ

Apple ไม่ได้ระบุข้อมูลระยะการเชื่อมต่อระหว่าง iPhone และ AirTag เอาไว้ว่าอยู่ที่เท่าไหร่ บอกแค่ว่าอยู่ในระยะสูงสุดของ Bluetooth เท่านั้น โดยเมื่อเราต้องการหาของที่ติด AirTag เอาไว้ ก็แค่เปิดแอป Find My ขึ้นมา ก็จะมีแผนที่ระบุตำแหน่งเอาไว้ว่า Tag แต่ละชิ้นอยู่ที่ไหน และหากต้องการระบุตำแหน่งแบบชี้ชัดกว่าเดิม (Precision Finding) ก็เลือกไปที่ชื่อของ Tag ที่เราตั้งเอาไว้ หรือจะแค่บอก Siri ว่าเราต้องการหาอะไร เช่น “Hey Siri find my wallet” ก็ได้ หากว่าเราอยู่ในระยะของ Tag แอป Find My ก็จะมีลูกศรชี้บนหน้าจอเพื่อให้เราเดินไปในทิศทางของตัว Tag ได้ และถ้ายังหาไม่เจอก็กดให้ตัว Tag ส่งเสียงบอกได้อีก

มาตรฐานกันน้ำกันฝุ่น : IP67

AirTag ได้รับมาตรฐานกันน้ำกันฝุ่น IP67 ทำให้มันทนทานได้ทั้งฝนตกหนัก โดนน้ำสาด หรือแม้แต่จมน้ำ (จืด) ลึก 1 เมตร เป็นเวลา 30 นาที…แต่ถึงยังไงถ้าของที่มี AirTag ติดเอาไว้แล้วจมน้ำก็ไม่น่าจะหาเจอนะครับ เพราะสัญญาณ Bluetooth ไม่สามารถทะลุผ่านน้ำได้นั่นเอง

แบตเตอรี่ : นานกว่า 1 ปี

AirTag ใช้แบตเตอรี่แบบกระดุม CR2032 ที่หาซื้อได้ทั่วไป โดย Apple เคลมว่าแบตก้อนนึงสามารถใช้งานได้ยาวกว่า 1 ปี แม้จะใช้ค้นหาของทุกวันก็ตาม และการที่เลือกใช้แบตกระดุมยังทำให้มันง่ายต่อการใช้งาน เพราะแบตก้อนนึงแค่ไม่กี่บาทแต่ใช้ได้เป็นปีกว่าจะเปลี่ยน แถมพอแบตหมดปุ๊บก็เปลี่ยนได้ทันทีไม่ต้องหาสายชาร์จเสียบ

ฟีเจอร์พิเศษ : ยิงลายด้วยเลเซอร์ฟรี

เมื่อสั่งซื้อ AirTag แบบออนไลน์ ทาง Apple จะมีบริการยิงลายด้วยเลเซอร์ให้ฟรี ๆ เป็นตัว Emoji, ตัวหนังสือ หรือจะผสมกันทั้ง 2 อย่างก็ได้

บริการยิงเลเซอร์เป็น Emoji หรือตัวอักษร

ฟีเจอร์ Galaxy SmartTag+

สำหรับ SmartTag+ ซึ่งใช้เทคโนโลยี UWB ในตอนนี้จะรองรับการใช้งานกับมือถือรุ่น Galaxy S21+, S21 Ultra, Note 20 Ultra, Galaxy Z Fold 2 (มือถือ Samsung Galaxy เท่านั้น) ส่วน Galaxy รุ่นอื่น ๆ ที่ใช้ระบบ Android 8 ขึ้นไปก็ใช้ได้เหมือนกันแต่จะไม่มีฟีเจอร์ระบุตำแหน่ง AR Finder ให้ใช้นะครับ

ส่วนรูปร่างหน้าตาของ SmartTag และ SmartTag+ จะเป็นสี่เหลี่ยมออกมน ๆ ที่เจาะรูไว้ให้ตรงมุม สามารถหาเชือกหรือห่วงพวงกุญแจมาคล้องได้แบบไม่ต้องลงทุนมากนัก ก็นับว่าออกแบบมาให้ใช้ได้สะดวกสบายดีเหมือนกัน

ระยะค้นหาผ่าน Bluetooth : สูงสุด 120 เมตร

สำหรับการค้นหาตัว Tag ด้วยระบบ Bluetooth จะได้ระยะสูงสุดที่ 120 เมตร (ไม่มีสิ่งกีดขวาง) จากตัวมือถือ โดยเมื่อเราเปิดแอป SmartThings Find ขึ้นมาก็จะโชว์แผนที่บริเวณรอบ ๆ ตัว พร้อมระบุตำแหน่งของ Tag ให้เราเดินไปหาได้เลย และพอเข้าไปใกล้มากขึ้น ก็สามารถเลือกใช้วิธีค้นหาแบบ AR Finder ซึ่งจะเปิดกล้องมือถือพร้อมกับมีลูกศรคอยชี้ทางบอกว่า Tag อยู่ทางไหน หรือถ้ายังหาไม่เจออีกก็สั่งให้เล่นเสียงจากตัว Tag ได้ด้วย

มาตรฐานกันน้ำกันฝุ่น : IP53

SmartTag+ ได้รับมาตรฐานกันน้ำกันฝุ่น IP53 ที่สามารถกันน้ำได้ในระดับฝนตก หรือกระเด็นใส่ ซึ่งเอาจริง ๆ ก็ถือว่าเพียงพอแล้วสำหรับชีวิตประจำวันที่อาจทำของตกกลางฝน หรืออาจมีน้ำหกใส่บ้าง…แต่ถ้าหากว่าของที่มี tag ติดอยู่ เกิดตกคลองหรือตกท่อก็หมดสิทธิหากันแน่นอนจ้า

แบตเตอรี่ : สูงสุด 5 เดือน

SmartTag+ ใช้แบตเตอรี่แบบกระดุม CR2032 ที่หาซื้อได้ทั่วไป โดยก้อนนึงจะใช้งานได้สูงสุด 5 เดือน

ฟีเจอร์พิเศษ : ใช้เป็นรีโมทควบคุม Smart Device ได้

SmartTag+ มีฟีเจอร์พิเศษที่สามารถควบคุม Smart Device ต่าง ๆ ของ Samsung ที่ใช้งานร่วมกับแอป SmartThings โดยตั้งค่าในการกดปุ่มที่ตัว SmartTag+ ได้เช่น กดครั้งนึงจะเป็นการเปิดไฟ กดค้างจะเป็นการปิดไฟ เป็นต้น

Galaxy SmartTag

Galaxy SmartTag รุ่นธรรมดา จะมีความสามารถต่าง ๆ เหมือนกับรุ่น SmartTag+ เกือบทั้งหมด ยกเว้นโหมดการค้นหาแบบแม่นยำด้วย AR Finder เนื่องจากมันไม่ใส่เทคโนโลยี UWB มาให้ด้วยนั่นเอง ซึ่งการที่มันไม่มี UWB ก็เลยทำให้แบตเตอรี่อึดขึ้นมาอีกโดยสามารถใช้ได้สูงสุดถึง 300 วัน

สเปค Apple AirTag / Galaxy SmartTag+

ราคา

ราคาของ Apple AirTag ในประเทศไทยอยู่ที่ชิ้นละ 990 บาท หรือจะซื้อเป็นแพ็ค 4 ชิ้นอยู่ที่ 3,390 บาท ส่วน Galaxy SmartTag+ มีราคาอยู่ที่ชิ้นละ 39.99 ดอลลาร์ หรือประมาณ 1,250 บาท แต่ในบ้านเราตอนนี้ยังไม่มีเข้ามาจำหน่ายนะครับ จะมีขายก็เฉพาะ Galaxy SmartTag รุ่นธรรมดาเท่านั้น มีราคาอยูที่ชิ้นละ 890 บาท

สำหรับอุปกรณ์ติดตามตำแหน่งอัจฉริยะทั้งคู่นี้ เอาจริง ๆ ก็เรียกว่ามีประโยชน์สำหรับคนขี้ลืมทั้งหลาย จะเอาไปติดที่กระเป๋า, กุญแจบ้าน, กุญแจรถ, ห้อยคอหมาแมว ฯลฯ ก็ช่วยอำนวยความสะดวกกันได้แบบสุด ๆ ในเวลาที่หาของเหล่านั้นไม่เจอ แถมยังค้นหาจากระยะไกลได้อีกด้วยครับ…แต่น่าเสียดายที่ทั้งคู่ยังจำกัดการใช้งานอยู่แค่แบรนด์ใครแบรนด์มันเท่านั้นน่ะสิ

ข้อมูลเพิ่มเติม : Samsung, Samsung (TH), Apple, Reuters