หลายคนคงจะรู้กันดีอยู่แล้วว่าการขุด Bitcoin หรือเหรียญคริปโตแบบเก่านั้นใช้ไฟฟ้าปริมาณมาก เนื่องจากต้องเอาไฟไปจ่ายให้หน่วยประมวลผลอย่างการ์ดจอ หรือหน่วยประมวลผลเฉพาะทางก็ว่ากันไป และแน่นอนว่าเหมืองเหล่านี้ไม่ได้มีการ์ดจอแค่ใบเดียว แต่มีเป็นหลายร้อยหลายพันใบ การใช้ไฟฟ้าก็ต้องเพิ่มสูงตาม

ล่าสุดทางสำนักงานข้อมูลพลังงานสหรัฐฯ (U.S. Energy Information Administration – EIA) ได้ออกมารายงานสัดส่วนการใช้พลังงานไฟฟ้าไปเพื่อการขุด Bitcoin อยู่ราว 0.6-2.3% ของการใช้พลังงานทั้งประเทศ ทำให้กระทบต่อราคาพลังงาน และเพิ่มโหลดของสายส่งไฟฟ้าด้วย

ตัวเลข 2% อาจจะฟังดูไม่มากเท่าไหร่ แต่ความจริงแล้วคือมีค่าเท่ากับการจ่ายไฟให้กับรัฐหนึ่งเลยทีเดียว โดยปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นไม่ได้เกิดจากนักขุดรายย่อย แต่เกิดจากนักขุดรายใหญ่ที่มีการใช้ฮาร์ดแวร์ที่ทันสมัย และย้ายที่ขุดเพื่อไปหาไฟฟ้าราคาถูกที่สุดต่างหาก

ทาง Cambridge ได้คาดคะเนว่า มีปริมาณไฟฟ้าที่ถูกใช้ไปกับกิจกรรมการขุด Bitcoin อยู่ที่ประมาณ 25-91 Terawatt ต่อชั่วโมง (TWh) หรือเทียบเท่ากับปริมาณการใช้ไฟฟ้าของรัฐ Utah เลยทีเดียว และทาง EIA ยังรายงานเพิ่มเติมว่า ในจำนวนเหมืองขุดขนาดใหญ่ทั้งหมด 137 แห่งในสหรัฐฯ มีจำนวนกว่า 101 ที่ได้กล่าวว่าต้องการพลังงานไฟฟ้าอย่างต่อเนื่องแบบเต็มกำลัง

แน่นอนว่าในเรื่องของผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การขุด Bitcoin สร้างปัญหาและมลภาวะทางอ้อมเป็นอย่างมาก เนื่องจากพลังงานไฟฟ้าที่ใช้ มาจากพลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิล (น้ำมัน) และความต้องการใช้ไฟฟ้าปริมาณมากเหล่านี้ยิ่งทำให้โรงไฟฟ้าที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลปิดตัวยากลงไปอีก เพราะถ้าปิดไปจะกระทบกับความมั่นคงด้านพลังงานในภาพรวมนั่นเอง

อย่างไรก็ตามแนวโน้มการใช้พลังงานเพื่อขุด Bitcoin ยังคงสูงขึ้นเรื่อยๆ และเหมืองบางส่วนก็ได้ย้ายฐานการขุดไปตั้งอยู่ในโรงงานผลิตไฟฟ้าโดยตรงเพื่อลดต้นทุนค่าไฟฟ้าด้วย แต่การจะไปปิดเหมืองเพื่อลดการใช้ไฟฟ้าก็ทำแล้วต้องจ่ายค่าชดเชยจำนวนมากอีก ทำให้ในตอนนี้ทาง EIA ทำได้เพียงแค่การกำกับดูแลการใช้พลังงานของเหมืองขุด และหาวิธีให้สหรัฐฯ ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนลง

ที่มา : eia

ภาพ : reuters