จีนนั้นเป็นประเทศที่มีกฎหมายเกี่ยวกับเรื่องความเป็นส่วนตัวและการเฝ้าระวังที่เข้มงวด ซึ่งตอนนี้ความล้ำหน้าในการตรวจสอบประชาชนก็ได้ก้าวขึ้นไปอีกขั้น โดยล่าสุดตำรวจจีนได้เริ่มใช้แว่นอัจฉริยะที่มีเทคโนโลยีระบุตัวตนประชาชนผ่านการสแกนใบหน้า

ด้วยฐานข้อมูลประชาชนที่มีอยู่ ตำรวจสามารถระบุตัวคนร้าย, คนหาย, หรือแม้แต่พยานในเหตุอาชญากรรมในฝูงชนได้แค่เพียงสแกนใบหน้าเอาไว้เท่านั้น อย่างไรก็ตามในปัจจุบันจีนก็มีกล้อง CCTV ที่สามารถระบุตัวตนและแกะรอยการเคลื่อนไหวว่าแต่ละคนเดินไปที่ใดบ้างอยู่แล้ว ดังนั้นแว่นนี้จึงมีไว้ใช้เฉพาะในบริเวณที่ไม่มีกล้องวงจรปิดหรือเวลาที่ต้องการระบุตัวคนอย่างรวดเร็วนั่นเอง

แว่นอัจฉริยะดังกล่าวผลิตขึ้นโดยบริษัท LLVision Technology ตั้งอยู่ที่กรุงปักกิ่ง แต่ตัวแว่นกำลังใช้อยู่ในเมืองเจิ้งโจว มณฑลเหอหนานทางตะวันออกของจีน ซึ่งใช้งานโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีรถไฟต่างๆในเมืองเพื่อตรวจสอบผู้คนที่เดินทางในช่วงเทศกาลตรุษจีนนี้ มีรายงานว่าตอนนี้มีผู้ต้องหาถูกจับไปแล้ว 7 รายพร้อมทั้งอีก 26 คนที่เดินทางโดยสวมข้อมูลตัวตนปลอม 

แว่นอัจฉิรยะนี้มีราคา 3,999 หยวน (ประมาณ 20,100 บาท) ผสานการทำงานระหว่างปัญญาประดิษฐ์ (AI) และฐานข้อมูลผู้ต้องหาแบบออฟไลน์จำนวน 10,000 คน ซึ่งใช้เวลาสแกนใบหน้าเพื่อตรวจสอบกับข้อมูลคนร้ายเพียง 0.1 วินาทีเท่านั้น และยังสามารถเชื่อมต่อออนไลน์เพื่ออัพเดทฐานข้อมูลเพิ่มเติมได้ทุกที่ทุกเวลาอีกด้วย

ในขณะที่ทางรัฐบาลจีนใช้เหตุผลตามที่ได้บอกไว้ข้างต้นในการนำระบบระบุตัวตัวแบบใหม่มาใช้ ก็มีคนบางกลุ่มออกมาวิพากย์วิจารณ์เกี่ยวกับการกระทำนี้ ตัวอย่างเช่น William Nee นักวิจัยจากองค์กรสิทธิมนุษยชน Amnesty International มองว่านี่จะยิ่งเพิ่มการสอดส่องล่วงล้ำเรื่องความเป็นส่วนตัวเพิ่มเข้าไปอีกเท่านั้น และยังมีความกังวลเกี่ยวกับรัฐบาลหรือใครก็ตามที่มีอุปกรณ์นี้ในครอบครองก็จะสามารถล้วงข้อมูลของประชาชนได้

 

ที่มา: Gizmochina , Wallstreet Journal