สถานการณ์ตึงเครียดระหว่างจีน ไต้หวัน และสหรัฐฯ กำลังเป็นประเด็นที่ทั้งโลกต้องหันมาให้ความสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแวดวงอุตสาหกรรมไอทีที่ต้องพึ่งพาชิ้นส่วนเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งปัจจุบันไต้หวันถือเป็นยักษ์ใหญ่ที่ครองส่วนแบ่งการตลาดเกินกว่า 60% หากที่สุดแล้วเรื่องราวบานปลายจนเกิดภาวะสงครามขึ้นมา สินค้าไอทีมีโอกาสสูงที่จะได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการที่ชิป (อาจ) หายไปค่อนโลก
สินค้าอิเล็กทรอนิกส์เป็นจำนวนมากต้องพึ่งพาชิ้นส่วนเซมิคอนดักเตอร์ หรือเรียกง่าย ๆ คือ “ชิป” มีตั้งแต่ของเล็ก ๆ ที่เราเห็นกันทุกวันอย่างสมาร์ท ใหญ่ขึ้นไปหน่อยก็มีพีซี โทรทัศน์ ตู้เย็น หรือแม้กระทั่งรถยนต์ด้วยก็เช่นกัน
ทำไมไต้หวันถึงมีความสำคัญต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์
ตามรายงานของ TrendForce ที่เปิดเผยออกมาเมื่อปีที่แล้ว บริษัทในไต้หวันถือครองส่วนแบ่งตลาดเซมิคอนดักเตอร์รวม 63% และมีการคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 66% ในปีนี้ โดยมี TSMC เป็นหัวหอก ถือครองส่วนแบ่ง 54% ของทั้งโลก ส่วนอันดับรองลงมาคือ เกาหลีใต้ที่ 18% โดย 17% มาจาก Samsung
ความสำคัญของ TSMC ไม่ใช่แค่การเป็นผู้ผลิตชิปรายใหญ่ที่สุด หากแต่ยังเป็นหนึ่งในผู้ผลิตชิปที่มีเทคโนโลยีการผลิตที่ก้าวหน้าที่สุดร่วมกับ Samsung และด้วยเหตุนี้เอง ทำให้ TSMC กลายเป็น “ศูนย์กลางความขัดแย้งระหว่างประเทศมหาอำนาจของโลก” ไปโดยปริยาย แม้บริษัทจะไม่ได้อยากเป็นอย่างนั้นเลยสักนิดก็ตาม
ส่วนแบ่งการตลาดเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลก
- TSMC (ไต้หวัน) – 54%
- Samsung (เกาหลีใต้) – 17%
- UMC (ไต้หวัน) – 7%
- GlobalFoundries (สหรัฐฯ) – 7%
- SMIC (จีน) – 5%
- HH Grace (จีน) – 1%
- PSMC (ไต้หวัน) – 1%
- VIS (ไต้หวัน) – 1%
- DB HITek (จีน) – 1%
- Tower Semiconductor (อิสราเอล) – 1%
- บริษัทอื่น ๆ รวมกัน – 5%
ชิปหายกันครึ่งโลก ไม่ใช่เรื่องเกินจริง
อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์เดิมทีก็พบปัญหาชิปขาดแคลนที่ดำเนินต่อเนื่องมาตั้งแต่ปลายปี 2563 อยู่แล้ว จากสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ซ้ำด้วยการระบาดของ COVID-19 จนโรงงานหลายแห่งต้องปิดตัวลงจาการล็อกดาวน์ ไปจนถึงภัยธรรมชาติที่เกิดในบางประเทศส่งผลต่อกำลังการผลิต ซึ่งจนถึงตอนนี้แม้สถานการณ์จะเริ่มดีขึ้นเป็นลำดับ แต่ก็ยังไม่ฟื้นตัวอย่างเต็มที่ 100%
ดังนั้น ถ้า TSMC และบริษัทอื่นในไต้หวันไม่สามารถผลิตชิปได้ การที่ชิป (อาจ) หายไปค่อนโลก ก็คงไม่ใช่เรื่องเกินจริงเท่าไหร่นักที่จะจินตนาการถึง ที่น่าเป็นห่วงคือ Apple ที่เป็นลูกค้ารายใหญ่ที่สุดของ TSMC ซึ่งมีสินค้าสำคัญ ๆ อย่าง iPhone และ iPad รวมถึงสินค้าตระกูล Mac
ลูกค้า TSMC ตามสัดส่วนรายได้ของบริษัท
- Apple – 25.93%
- MediaTek – 5.80%
- AMD – 4.39%
- Qualcomm – 3.90%
- Broadcom – 3.77%
- Nvidia – 2.83%
- Sony – 2.54%
- Marvell – 1.39%
- STM – 1.38%
- ADI – 1.06%
- Intel – 0.84%
จีนบุกเอง ก็อาจเจ็บเอง เสียหายกันทุกฝ่าย
ทางสหรัฐฯ พยายามโน้มน้าวให้ TSMC ย้ายฐานการผลิตออกจากไต้หวันมาตั้งแต่ 2 ปีก่อน โดย TSMC พึ่งตั้งโรงงานในสหรัฐฯ ด้วยมูลค่ากว่า 1 หมื่นล้านเหรียญไปเมื่อกลางปีที่ผ่านมา และกำลังจะตั้งอีกแห่งในญี่ปุ่น โดยมีกำหนดแล้วเสร็จในปี 2567 ซึ่งแน่นอนว่าจีนคงไม่พอใจในเรื่องนี้
แต่หากจีนคิดจะหันหอกหาไต้หวัน ก็มีความเสี่ยงที่หอกนั้นจะย้อนกลับมาทิ่มแทงตัวเองเช่นกัน เพราะถึงแม้จีนพยายามจะส่งเสริมอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ในประเทศเป็นลำดับตามกลยุทธ์ระยะยาวในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่ข้อเท็จจริงคือจีนยังตามหลังคู่แข่งอยู่อีกหลายปี ทำให้ต้องอาศัยการพึ่งพาเครื่องจักรและเทคโนโลยีของสหรัฐฯ และยุโรปอยู่ หากไม่มีชิ้นส่วนเซมิคอนดักเตอร์ป้อนเข้าสู่ประเทศ เศรษฐกิจอาจพังครืนไม่เป็นท่าเอาง่าย ๆ
หลักฐานอย่างหนึ่งที่บ่งชี้ให้เห็นว่าโรงงานผลิตชิปในไต้หวันมีความสำคัญต่อจีนมากแค่ไหน คือมาตรการกดดันทางเศรษฐกิจล่าสุดของจีน ที่เริ่มแบนสินค้าหลายอย่างจากไต้หวัน เช่น สินค้าประเภทอาหาร ผลไม้ และสินค้าจากการประมง แต่กลับไม่แตะต้องธุรกิจเซมิคอนดักเตอร์เลย
นอกจากนี้ มาร์ก หลิว ประธานบริษัท TSMC ยังบอกกับสื่อต่างประเทศว่า จีนไม่สามารถใช้กำลังมาบังคับหรือข่มขู่ TSMC ให้ทำตามคำสั่ง (ผลิตชิป) ตามอำเภอใจได้ เพราะกระบวนการผลิตมีความซับซ้อนสูง ต้องมีการติดต่อกับโลกภายนอกแบบเรียลไทม์ ทั้งปัจจัยด้านวัสดุ สารเคมี ชิ้นส่วนอะไหล่ ซอฟต์แวร์ และการตรวจสอบชิป โดยเจ้าตัวหวังว่าสุดท้ายเหตุการณ์จะไม่ลุกลามไปจนถึงขั้นนั้น ก็จะเป็นการดีที่สุด
เรียกได้ว่าการก่อสงครามคงเป็นเรื่องที่ไม่ส่งผลดีอะไรกับทุกฝ่าย ไม่ว่าฝั่งไหนก็จะได้รับผลกระทบในเชิงลบ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
อ้างอิง
- Visual Capitalist
- CNBC (1, 2)
ฟากนึงพึ่งปั่น น้ำมันไป ทำสงคราม อีกฟากเอาบ้าง จะปั่น ชิปเซ็๋ท รุ่นใหญ่เล่นกันนี่มันดีจริงๆ ประเทศด้อย ก็ได้แต่ซื้อของแพงขึ้น เหมือน อารมทำสงครามโลกไปในตัว สงครามเย็นดีๆนี่แหละ
ปล.. เผลอๆ รบๆเนี่ย ปั่นกันเอง
ไต้หวันจะหมดค่าลงตอนไหน อยู่ที่เวลาแค่นั้น ถ้าจีนพัฒนาเทคโนโลยีตัวนี้ทันเมื่อไหร่ รอดูได้เลย
เมกา ยังไม่เห็นแคร์เลย รู้ทั้งรู้ว่าไปเยือนแล้วจะเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ยังหาเรื่องไป
เมกา จงใจ ยั่วยุ จีน เพื่อสร้างความชอบธรรมในการทำสงครามครับ
ถ้าวันก่อน จีนยิงเครื่องบินของนาง
นั้นจะเป็นจุดเริ่มต้นของ WW3 แน่นอน
แค่การที่จีนซ้อมรบ แค่นี้ อเมริกา ก็หาเรื่องขายอาวุธ ให้ไต้หวัน เกาหลีใต้ รวมถึง ญี่ปุ่นได้อีกมหาศาลแล้ว
แทนที่จะโทษเมกา ทำไมไม่ไปโทษจีนบ้างละครับว่าทำตัวงอแง อยากจะยึดก็ยึดอะไรไปเรื่อยไม่ต่างอะไรกับเบบี้ เมกาก็ทำไม่ถูก 100% หรอก แต่คนโวยวายคือจีนมากกว่าครับ
.
ตลกมาก เหมือนตอนม็อบที่โทษคนไปว่าไปทำไม ไปก็โดนทำร้าย แต่ไม่โทษตำรวจที่เป็นฝ่ายทำร้าย ตลกจ้าา
ใช่มันจะบอกจะเอาๆ ไต้หวัน แต่มันไม่เอาจริงสักครั้ง
แต่มีบางตัวที่ไปเพิ่มความตึงเครียดเร่งปฏิกิริยา ถามว่าถ้าเกิดสงคราม จีน-ไต้หวัน ใครได้ประโยชน์?
จีนรอให้เวลาสุก งอมเต็มที่ไม่ต้องการรวมไต้หวันด้วยกำลัง
เพราะถ้าทำสงครามการค้าสะดุดมันจะได้ไม่คุ้มเสียแน่นอน
เพราะอเมริกานั่นละ รู้ตัวว่าอำนาจตัวเองเริ่มเสื่อม เลยเล่นสงครามการค้าแบนบ.จริงแบนไม่เป็นธรรม
Huawei ซื้อ CPU ไม่ได้เล่นเอาธุรกิจแทบล่มสลาย
ทำให้จีนกลัวจะไม่สามารถทำธุรกิจกับ TSMC ได้
ทางเดียวที่จะหยุดความชิบหายของตัวเองได้คือดึงไต้หวันเข้ามาเป็นของตัวเอง
อเมริกาเล่นเกมแบบนี้พยายามยั่วยุจีนไปเรื่อยๆ เพราะรู้ว่าจีนไม่กล้าเปิดสงครามจริงๆ จะเห็นได้ว่าพักหลังๆจีนเล่นสงครามการค้าแบบอยู่ในเกมมาตลอด(ไม่ใช่ดีนะครับ ทำตามกรอบแต่โหดเอาเรื่องยึดเศรษฐกิจไปหลายประเทศแล้ว) การที่จะเปิดสงครามแล้วตัวเองเป็นผู้ร้ายจีนไม่โง่พอจะทำ
One china มันฝังอยู่ในสายเลือดคนจีนทุกคนครับ ยอมล้าหลังไป 10 ปี ก็คุ้ม