นับตั้งแต่ Facebook ประกาศจัดตั้งสถาบันการเงินรูปแบบ Cryptocurrency อย่าง The Libra Association ไปในช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมานั้น ดูเหมือนพวกเขาจะเอาจริงเอาจังมากเป็นพิเศษพร้อมออกมายืนยันจะจัดตั้งให้สำเร็จพร้อมใช้งานกันตามความตั้งใจในช่วงปี 2020 ให้จงได้ แต่ในทางกลับกันหลายรัฐบาลทั่วโลกกลับแสดงความเป็นห่วงไม่สนับสนุนเจ้า Libra นี้กันสักเท่าไหร่นักความกังวลทั้งในแง่ผลกระทบต่อโลกการเงิน การเมือง และความมั่นคงทางข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งรายละเอียดจะเป็นอย่างไรนั้นเรามาดูกัน
Libra จะแข็งแกร่งกว่าทุกสกุลเงินดิจิทัลที่เคยมีมา แต่ปัญหาติดอยู่ที่ชื่อเสียงของ Facebook
พวกเราอาจทราบกันดีอยู่แล้วว่า Libra กำลังถูกปั้นให้เป็นอีกหนึ่งสกุลเงินดิจิทัลบนเทคโนโลยี Blockchain สำหรับการการจับจ่ายใช้สอยซึ่งอาจไม่ต่างจาก Cryptocurrency อื่น ๆ เช่น Bitcoin แต่สิ่งที่จะแตกต่างไปโดยสิ้นเชิงคือ Facebook ซึ่งนับเป็นบริษัทเทค ฯ ยักษ์ใหญ่เบอร์ต้น ๆ ของโลกก้าวเข้ามาเพื่อ Disrupt ระบบการเงินของโลกให้เปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่เคยมีมาก่อน โดยนอกจากความทรงอิทธิพลระดับ Facebook แล้ว Concept ของ Libra คือจะต้องเป็นสกุลเงินสำหรับทุกคนบนโลก เข้าถึงได้จริง ปลอดภัย และที่สำคัญคือมีความแข็งแกร่งมั่นคงดั่งเช่นเงินสกุลชั้นนำของโลกเลยทีเดียว
Libra นั้นจะถูกจัดตั้งขึ้นในกรุงเจนีวา ประเทศสวิซเซอร์แลนด์ เป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรชื่อว่า The Libra Association ซึ่งจะเข้ามาทำหน้าที่บริหารจัดการสกุลเงินอย่างเป็นทางการ โดยในวันเปิดตัวช่วงกลางเดือนมิถุนายน 2019 นั้น Facebook ได้ประกาศรายชื่อสมาชิกขององค์กรร่วมลงทุนกลุ่มแรกออกมารวม 28 รายชื่อด้วยกันจากทุกประเภทอุตสาหกกรมไม่ว่าจะเป็นสถาบันการเงิน สถาบันการลงทุน เทคโนโลยี โทรคมนาคม และองค์กรชั้นนำทั่วโลก
ความตั้งใจของ Facebook นั้น Libra จะต้องถูกเปิดตัวขึ้นใช้งานจริงได้ในช่วงปี 2020 แต่งานนี้อาจไม่ง่ายเลยจริง ๆ เพราะนับตั้งแต่เปิดตัวมา ด้วยชื่อชั้นระดับ Facebook นำมานั้น แน่นอนเลยว่าเจอดราม่าจากทั่วทุกสารทิศไม่ว่าจะเป็นภาครัฐบาลโดยเฉพาะประเทศมหาอำนาจ และ เอกชนชั้นนำทั่วโลก ต่างแสดงความกังวลต่อระบบการเงินโลกและความมั่นคงของโลกไซเบอร์ แถมล่าสุดถึงแม้จะประกาศสัดส่วนตะกร้าเงินเพื่อการันตีความมั่นคงของ Libra ออกมาแล้ว แต่ก็ดันมีข่าวว่า 5 องค์กรจากสมาชิกกลุ่มแรก 28 รายชื่อนั้น กำลังพิจารณาขอถอนตัว ทั้ง ๆ ที่ Facebook หมายมั่นปั้นมือจะรวบรวมสมาชิกทั่วโลกให้ได้มากถึง 100 รายชื่อในวันเริ่มให้บริการอย่างเป็นทางการก็ตาม
The Libra Association คือการรวมทีม Tech Giants ตั้งเป้า Disrupt ระบบการเงินทั้งโลก
ถึงแม้ว่าสกุลเงินดิจิทัลนั้น อาจถือว่าไม่ใช่เรื่องใหม่อะไรกันแล้ว เพราะเป็นที่รู้จักจนกลายเป็นกระแสยอดฮิตของนักลงทุนสายเทคโนโลยีกันอยู่พักใหญ่ ๆ ชนิดที่มูลค่าของสกุลเงินพวกนี้สร้างทั้งเศรษฐีและยาจกหน้าใหม่ทั่วโลกมาแล้วในช่วงระยะเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมา 😂 แต่กับกรณีของ Libra นั้นจะแตกต่างกันไปอย่างสิ้นเชิง เพราะผู้ลงทุนนั้นไม่ใช่แค่ Facebook เพราะ Facebook ประกาศชัดว่าจะทำหน้าที่แค่เป็นผู้บุกเบิกไอเดียและจัดการกระเป๋าเงินที่จะมีชื่อคล้ายคลึงกันอย่าง Calibra เท่านั้น ส่วนตัวสกุลเงินนั้นจะเต็มไปด้วยทวิภาคีจากหลาย ๆ ภาคส่วนที่จะร่วมกันสร้างศักยภาพของสกุลเงินนี้ให้แพร่หลาย มั่นคง และทั่วถึงชนิดที่ทั้งโลกต้องยอมสยบกันเลยทีเดียว 😎
หากมองเฉพาะแค่ 28 สมาชิกกลุ่มแรกของ The Libra Association จะเห็นได้ว่านอกจากบรรดาผู้ลงทุนจากสายสกุลเงินดิจิทัลด้วยกันแล้วนั้น Libra จะเป็นสกุลเงินที่ผู้ลงทุนมีความหลากหลายสูงและแข็งแกร่งระดับโลกจริง ๆ เพราะลำพังแค่มองดูรายชื่อก็น่าสะพรึงแล้ว ไม่ว่าจะ
- Mastercard กับ Visa สองผู้ให้บริการการเงินยักษ์ใหญ่ของโลกที่ต่างตอบตกลงแทบจะทันทีที่ได้รับการทาบทาม
- แพลตฟอร์มซื้อขายชื่อดังของโลกอย่าง ebay
- ผู้บุกเบิกกระเป๋าเงินดิจิทัลที่น่าเชื่อถือเป็นอันดับต้น ๆ ของโลกอย่าง PayPal
- บริการ Ride-hailing ที่เปลี่ยนโลกมาแล้วอย่าง Uber กับ Lyft
- บริษัทโทรคมนาคมที่มีให้บริการอยู่ทั่วทุกมุมโลกอย่าง Vodafone
- บริการสตรีมมิ่งเพลงอย่าง Spotify ที่ได้รับการยอมรับในด้าน UX/UI Design
ทั้งหมดล้วนแล้วแต่จะช่วยส่งเสริมศักยภาพของ Libra ให้เป็นที่ 1 ของโลกได้อย่างไม่ต้องสงสัยเลย
เว้นเสียแต่ว่า งานนี้พวกเขาไม่ได้ถูกมองเพียงว่าจะขึ้นเป็นที่ 1 ของสกุลเงินดิจิทัลของโลกเท่านั้น แต่ว่า Libra อาจเข้ามาเปลี่ยนแปลงระบบการเงินของโลกไป อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ชนิดที่หลาย ๆ รัฐบาล (โดยเฉพาะชาติมหาอำนาจอย่าง สหรัฐ ฯ จีน ญี่ปุ่น และสหภาพยุโรป) ต่างก็ออกมาแสดงความกังวลใจว่า Libra อาจจะทรงอำนาจเกินหน้าเกินตาธนาคารกลางของชาติเหล่านี้จนถึงขั้นเป็นภัยคุกคามของระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมไปเลยก็ได้
อันที่จริงหากเราไม่มองว่ามันเป็นเพียงความหวั่นกลัวทางการเมืองที่มากจนเกินไปแค่นั้นแล้วล่ะก็ บางที Libra โดยสมาชิกเช่นองค์กรเหล่านี้ มันก็ชัดเจนอยู่ในตัวเองแล้วว่า Libra อาจเป็นเสมือนธนาคารกลางในตัวเอง (หรือถึงขั้นเรียกว่าเป็นรัฐบาลเกิดใหม่ได้เลยล่ะ 💡) ที่ถือครองข้อมูลของผู้บริโภคทั่วโลก ลองนึกดูแค่ปริมาณข้อมูลของผู้ใช้งาน Facebook | Visa | Mastercard แค่นี้ก็ครอบคลุมประชากรร่วมครึ่งโลกเข้าไปแล้ว ถ้าสมาชิกเหล่านี้ร่วมกันออกแคมเปญให้เราหันไปใช้งาน Libra ได้ทุกที่ทั่วโลกแถมการจับจ่ายใช้สอยหรือลงโฆษณาบน Facebook จะได้รับส่วนลดเป็นกรณีพิเศษเพียงแค่นี้ The Libra Association ก็แทบจะระบุตัวตนและพฤติกรรม เพื่อชักจูงหรือสร้างแรงจูงใจไม่ว่าทางการค้าหรือการเมืองได้อย่างมีประสิทธิภาพกว่ารัฐบาลไหน ๆ บนโลกใบนี้จะทำได้แล้วล่ะ 😈
Libra คือจิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้าย ที่อาจทำให้ Facebook เข้าถึงและควบคุมพฤติกรรมของเราโดยสมบูรณ์
Facebook นั้นออกมายืนยันครั้งแล้วครั้งเล่าว่า Facebook Inc. และ The Libra Association นั้นแยกออกจากกันโดยสิ้นเชิง ซึ่งหน้าที่หลักของ The Libra Association คือการดำเนินการจัดการเซิร์ฟเวอร์ให้กับ Libra Network และรวมไปถึงการจัดการรักษาสเถียรภาพของมูลค่าสกุลเงิน Libra โดยการดูแลสัดส่วนตะกร้าเงิน โดย Facebook นั้นไม่ใช่ผู้จัดการใด ๆ ในกระบวนเหล่านี้ของ Libra เพียงแต่ Facebook เองก็จะมีการดำเนินธุรกิจเพิ่มเติมเป็นบริษัทลูกมีชื่อว่า Calibra โดยเป็นการให้บริการกระเป๋าเงินดิจิทัลที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันกับ PayPal เพียงแต่ว่าจะใช้สกุลเงิน Libra เท่านั้น สำหรับการใช้จ่ายหรือรับ – ส่งเงินทั่วโลก
Facebook จะรู้จักเราแบบละเอียดกว่าเดิมจากการยืนยันตัวตนอย่างเข้มงวดก่อนเข้าใช้งาน Libra รวมถึงรู้ข้อมูลลักษณะการใช้จ่ายของเราทั้งหมด
งานนี้ประเด็นที่น่าสนใจไม่แพ้กับเป้าหมายการพลิกโฉมระบบการเงินของโลกเลยนั่นก็คือ ความมั่นคงทางไซเบอร์ หรือเรียกให้ดูเบา ๆ ลงหน่อยก็คือ ความปลอดภัยในข้อมูลส่วนบุคคลของพวกเรานี่แหละ เพราะการจะเข้าถึงบริการใด ๆ ทางการเงินเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ตกอยู่ภายใต้กฏหมายที่เป็นมาตรฐานสากลเรื่องการป้องกันการฟอกเงินซึ่งบังคับให้ผู้ใช้บริการจะต้องทำการยืนยันระบุตัวตนอย่างละเอียด ซึ่งละเอียดกว่าการสมัครใช้บริการ Social Media อย่างมาก 😎 😎 😎 ถึงตรงนี้อยากให้เพื่อน ๆ ลองนึกภาพตามว่า Facebook ที่มีข้อมูลพฤติกรรมของพวกเราค่อนข้างดีอยู่แล้ว โดยแบ่งออกไว้เป็นกลุ่ม ๆ (Demographic | Segmentation) จะได้ข้อมูลระบุตัวตนของบุคคลอย่างเรา ๆ รวมถึงพฤติกรรมทางการเงินโดยละเอียดเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของ Facebook Ecosystem เพิ่มเติม 👿
ถึงแม้ว่าสุดท้ายแล้ว Facebook และสมาชิก The Libra Association อาจจะออกมาประกาศความชัดเจนในเรื่องนี้เพียงใดว่าข้อมูลของผู้ใช้บริการ Libra จะอยู่เพียงใน Ecosystem ของ Libra เองเท่านั้น แต่เราก็ไม่อาจลดความกังวลใจได้เลยว่า เหตุการณ์เช่น Cambridge Analytica และความหละหลวมของ Facebook ต่อข้อมูลส่วนบุคคลจะไม่เกิดขึ้นอีก โดยเฉพาะในโอกาสที่มูลค่าทางธุรกิจของผู้ใช้งานสกุลเงิน Libra ที่หากเอามารวมกับจำนวนผู้ใช้งาน Facebook แล้วล่ะก็จะสร้างเม็ดเงินโฆษณา อำนาจจูงใจ และอิทธิพลให้กับกลุ่มสมาชิก The Libra Association ต่อโลกใบนี้ได้มากเพียงใด นี่ยังไม่ได้รวมสมาชิกรายอื่น ๆ เลยด้วยซ้ำไปนะ 😕
ปี 2025 – Libra กลายมาเป็นสกุลเงินที่ใช้จ่ายได้จริงทั่วโลก ใช้จ่ายได้ผ่านสมาร์ทโฟนในทุก ๆ ร้านค้าที่มีสัญลักษณ์ Visa | Mastercard รวมถึงประเทศไทย ซึ่งมีน้อง DroidSans เป็นผู้ใช้บริการมาตลอด 3 -4 ปี นับตั้งแต่เปิดให้บริการ โดยน้องใช้จ่ายเงิน Libra ในทุกร้านค้าที่รับ Mastercard | Visa เพราะส่วนลดพิเศษ นอกจากนั้นแล้วค่าบริการโทรศัพท์รายเดือน ค่าบริการ GrabFood | GrabCar | Spotify แม้กระทั่งซื้อของออนไลน์ก็จ่ายผ่าน Calibra | PayPal ด้วยเงิน Libra
ย่อหน้าข้างต้น เป็นเพียงการคาดการณ์อนาคต แต่ก็มีความเป็นไปได้สูงมากว่าจะเกิดขึ้น (หากไม่มีการควบคุม-แทรกแซงจากหน่วยงานงานรัฐซะก่อน) และ Facebook จะเป็นบริษัทที่เข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของประชากรทั่วโลกได้มากที่สุด และข้อมูลเหล่านี้มากพอที่จะควบคุมความนึกคิดของประชาชนในแต่ละประเทศเลยก็ว่าได้ << ไม่ได้เขียนให้ดูเว่อร์ ไม่ใช่หนังไซไฟ มีตัวอย่างจากเมื่อคราว Cambridge Analytica ออกมาทีนึงแล้ว ที่ปัจจุบันหลายประเทศห่วงเรื่อง data privacy กันมากก็เพราะกังวลเรื่องนี้เนี่ยแหละ ซึ่งจะนำเอามาเล่าให้ฟังแบบละเอียดในคราวต่อไปนะครับ
อ้างอิง: CNN Business (07/19) | CNN Business (08/19) | Financial Times | คุณปรมินทร์ อินโสม (CEO – Satang Corporation)
สงสัยอีกหน่อย fb คงคุมทุกอย่างหมด อิอิ 🙂 🙂
โดยส่วนตัว ผมไม่ไว้ใจ Facebook เท่าไร
แค่คุยกับเพื่อนแล้วโฆษณาเด้งขึ้นมาเหมือนกับที่คุยกันก่อนหน้าก็น่ากลัวมากแล้ว แค่ผมหาของบน Google ผ่านไปแป๊บเดียวโฆษณาบน Facebook เปลี่ยนไปเหมือนของที่ผมหาเมื่อกี้…แอบส่องทุกการเคลื่อนไหวเพื่อขายโฆษณาที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นทุกวัน
ถ้าจ่ายเงินด้วย Libra ผมอาจคิดไปเองก็ได้…แต่ก็แอบระแวงว่า Facebook จะมองเราใช้เงินต่อไป และคอยป้อนโฆษณาที่(น่าจะ)ตรงความต้องการของเราเรื่อยๆ รึเปล่า
อันนี้ยืนยันเลยว่า Facebook น่าจะมีการแอบดูข้อมูลเรา กำลังหาข้อมูลใน Google เกี่ยวกับหูฟังที่ญี่ปุ่น โฆษณา Biccamera กับ Yodobashi ใน Facebook เด้งกันรัวๆ
ถ้าหาของใน google แล้วขึ้นโผล่ใน Facebook ที่น่ากลัวคือ google ขายข้อมูลให้ Facebook
ถ้าคุยกับเพื่อนแล้วแอพ Facebook ดักฟังขึ้นโฆษณาตาม
ที่น่ากลัวคือ Facebook ดักฟัง หรือ Google เป็นคนดักฟังแล้วขายข้อมูลให้ Facebook กันแน่
ต้องลองปิด Facebook แล้วคุยกันเรื่องสินค้า แล้วสักพักเปิด Facebook มา
ถ้าขึ้นโฆษณาตามได้ก็ Google ถ้ามันไม่ขึ้นก็แสดงว่าคนดักฟังคือ Facebook
อีกกรณีถ้าขึ้นมาได้ อาจจะทั้ง Google และ Facebook ดักฟังทั้งคู่อยู่แล้วก็ได้อีก