เนื่องจากปีนี้ไม่มีสมาร์ทโฟนในซีรีส์ Galaxy Note ทำให้เรือธงในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 จาก Samsung กลายเป็นมือถือจอพับอย่าง Galaxy Z Fold 3 และ Flip 3 แทน ส่วนทาง Apple นั้นพึ่งเปิดตัว iPhone 13 ไปหมาด ๆ ถึงแม้ฟอร์มแฟกเตอร์ของทั้ง 2 ค่ายในรอบนี้จะแตกต่างกันอย่างชัดเจน แต่ด้วยความที่เป็นถึง 2 แบรนด์ยักษ์ใหญ่ ความน่าสนใจที่จะนำมาเปรียบเทียบกันจึงไม่ได้ลดลงเลยแม้แต่น้อย
Galaxy Z Fold 3, Flip 3 และ iPhone 13 ทั้ง 4 รุ่นในซีรีส์ ต่างก็เป็นสมาร์ทโฟนระดับไฮเอนด์เหมือน ๆ กัน ฮาร์ดแวร์ที่ยัดมาให้ย่อมต้องเป็นเกรดท็อป ๆ ทุกภาคส่วนอยู่แล้ว ประเด็นน่าสนใจกับข้อที่ควรหยิบมาพิจารณาในการเลือกซื้อจึงอาจตกไปที่ฟังก์ชันหรือคุณสมบัติเฉพาะตัวเสียมากกว่า
ประสบการณ์ใช้งานแบบพิเศษเฉพาะมือถือจอพับ
จุดที่สร้างความแตกต่างให้แก่ Galaxy Z Fold 3 และ Flip 3 คือการที่ทั้งคู่เป็นมือถือจอพับ เวลาพับขึ้นมาครึ่งหนึ่งจึงเหมือนกับว่า “มีขาตั้งในตัว” สามารถนำคุณสมบัตินี้ไปประยุกต์ใช้งานต่อได้หลายอย่าง เช่น ในการถ่ายรูป ดูวิหนัง และวิดีโอคอล เป็นต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการถ่ายรูปนี่เป็นอะไรที่ Galaxy Z Fold 3 และ Flip 3 โชว์ศักยภาพได้ค่อนข้างชัดเจน เพราะสามารถถ่ายด้วยความเร็วชัตเตอร์ต่ำ ๆ หรือถ่ายในโหมดไทม์แลปส์ได้โดยไม่ต้องพึ่งพาขาตั้งกล้องให้วุ่นวาย หรือแม้แต่การวางตั้งเครื่องเอาไว้แล้วถ่ายเซลฟี่ตัวเองด้วยเช่นกัน
ยิ่งไปกว่านั้น ในการถ่ายวิดีโอ Galaxy Z Fold 3 และ Flip 3 ยังมีฟีเจอร์ “จัดองค์ประกอบภาพโดยอัตโนมัติ” เมื่อเปิดใช้งานกล้องจะขยับตามแบบให้อยู่ในเฟรมเสมอ ทำได้แม้กระทั่งซูมภาพออกเพื่อเปลี่ยนเป็นภาพมุมกว้างในกรณีที่มีคนอื่นมาเข้าร่วมเฟรมกลางคันด้วย ฉลาดสุด ๆ ไปเลยล่ะครับ
ทั้งนี้ บางอย่างที่กล่าวมา iPhone 13 ก็ทำได้เหมือนกันนะ แต่จะไม่สะดวกเท่า เพราะต้องใช้ขาตั้งกล้องช่วย ซึ่งในชีวิตจริงเราคงไม่ได้สะดวกจะพกพาไปไหนด้วยบ่อย ๆ หรือไม่อย่างนั้นคงต้องหาอะไรให้เครื่องพิงเอาไว้อะไรแบบนั้น
พกพาสะดวก ยกให้ Galaxy Z Flip 3 – น้ำหนักเบาหวิว ต้อง iPhone 13 mini
iPhone 13 ยังไม่วางขายในบ้านเรา (เริ่มเปิดให้พรีออร์เดอร์ 1 ตุลาคม 2564 เป็นต้นไป) แต่เพื่อน ๆ น่าจะพอจินตนาการเกี่ยวกับขนาดและน้ำหนักกันได้ไม่ยากเท่าไหร่นัก เพราะแทบจะไม่แตกต่างไปจาก iPhone 12 เลย ซึ่งจากประสบการณ์ส่วนตัวแล้ว Galaxy Z Flip 3 มีภาษีในเรื่องความสะดวกในการพกพามากที่สุด มากยิ่งกว่า iPhone 13 mini ที่มีน้ำหนักแค่ 141 กรัมเสียอีก เพราะตอนที่พับอยู่เครื่องจะสั้นมาก ๆ หากเทียบกับมือถือทั่วไป ใส่กระเป๋ากางเกงแล้วยังรู้สึกคล่องตัวอยู่ ไม่มีอะไรมารั้งที่ต้นขา ลุก ๆ นั่ง ๆ ได้อย่างมั่นใจ และใส่ในกระเป๋าเสื้อได้โดยเครื่องไม่ยาวล้นออกมาจนเสียวทำหล่น
แต่ถ้าเทียบในกลุ่มจอใหญ่ระหว่าง iPhone 13 Pro Max กับ Galaxy Z Fold 3 ฝ่ายหลังจะสู้ด้วยลำบาก นอกจากความหนาที่เหมือนเอามือถือ 2 เครื่องมาประกบกันแล้ว ยังหนักมากถึง 271 กรัมอีกต่างหาก อาจเป็นข้อจำกัดที่ทำให้รู้สึกถึงความ “เกะกะ” ได้เลยทีเดียว …ส่วน iPhone 13 กับ 13 Pro นี่ขนาดมาตรฐานทั้งคู่ ค่อนข้างไปทางเล็กด้วยซ้ำถ้าเทียบกับเรือธงด้วยกัน จึงไม่น่าจะมีปัญหาอะไรในการพกพา
iPhone 13 ใช้งานในชีวิตประจำวันได้ถนัดกว่าหรือเปล่า ?
พูดถึงข้อดีเรื่องจอพับของ Galaxy Z Fold 3 และ Flip 3 กันไปแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม หากเรามองมุมกลับว่า iPhone 13 ไม่ต้องคอยมาพับเข้า ๆ ออก ๆ เพื่อใช้งาน อาจเป็นเรื่องที่สะดวกมากกว่าในชีวิตประจำวันก็ได้ โดยแลกมากับความสามารถ “กางเป็นหน้าจอขนาดใหญ่” และ “พับเพื่อให้มีขนาดกะทัดรัด” ที่ขาดไปตามลำดับ อันนี้อยู่ที่ใครจะให้น้ำหนักกับด้านไหนมากกว่ากัน
Galaxy Z Fold 3 ใช้งานแอปพร้อมกันสูงสุดได้ 3 หน้าต่าง
จนถึงตอนนี้ Apple ยังไม่เปิดให้ iPhone 13 ใช้งานฟีเจอร์แบ่งหน้าจอในระดับระบบปฏิบัติการ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย เพราะเอาจริง ๆ ในรุ่น Pro และ Pro Max นี่มีพื้นที่ให้ใช้สอยพอสมควร แต่กลับถูกจำกัดไว้ให้ใช้งานได้เพียงแอปเดียว เต็มที่คือได้แค่ PiP (Picture in Picture) ในการดูหนังหรือดูวิดีโอเท่านั้น ในขณะที่ Galaxy Z Fold 3 และ Flip 3 ถูกชูจุดเด่นด้านนี้เป็นพิเศษ โดยสามารถแบ่งหน้าจอได้ 3 และ 2 หน้าต่างตามลำดับเมื่อกางออก และบวกเพิ่มได้อีก 1 หน้าต่างจากโหมดป็อปอัปด้วย หากใครใช้งานมัลติทาส์กกิงบ่อย ๆ Samsung จะเป็นตัวเลือกที่ได้เปรียบกว่า เล่นเกมได้ด้วย ดูไลฟ์สตรีมไปด้วย หรือประชุมไปด้วย จดโน้ตไปด้วย เป็นต้น
มีเพียง Galaxy Z Fold 3 ที่รองรับปากกา S Pen (แต่ต้องซื้อแยก)
Galaxy Z Fold 3 ถือเป็นมือถือจอพับรุ่นแรกและรุ่นเดียวจนถึงตอนนี้ของ Samsung ที่รองรับการใช้งานคู่กับปากกา S Pen สุดเทพ เหมือนยกเอาฟีเจอร์จาก Galaxy Note มาใส่ทั้งดุ้น ใครที่ชอบจด ๆ วาด ๆ ขีด ๆ เขียน ๆ หน้าจอคงถูกใจไม่น้อย เป็นคุณสมบัติที่ทั้ง Galaxy Z Flip 3 และ iPhone 13 ไม่สามารถมอบให้ได้
แต่ทั้งนี้ต้องบอกก่อนว่า Samsung ไม่ได้แถมปากกา S Pen มาให้ในกล่อง ถ้าอยากใช้ต้องซื้อแยกเอาเอง มีด้วยกัน 2 ตัวเลือก ได้แก่ S Pen Fold Edition และ S Pen Pro ทั้งคู่จะรองรับแรงกด 4,096 ระดับ และใช้งานฟีเจอร์ Air Command ได้เหมือนกัน จุดแตกต่างคือ ฝ่ายหลังจะมีขนาดใหญ่ จับถนัดมือมากกว่า และมีบลูทูธในตัวจึงใช้งานฟีเจอร์ Air Action ได้เพิ่มเติม
- S Pen Fold Edition – ราคา 1,590 บาท
- S Pen Pro – ราคา 3,690 บาท
- Flip Cover with S Pen – ราคา 2,790 บาท
ปล.ปากกาที่จะนำมาใช้งานกับ Galaxy Z Fold 3 ต้องเป็น S Pen Fold Edition หรือ S Pen Pro ถ้าเป็น S Pen เท่านั้นนะครับ ปากการุ่นเก่า ๆ ของ Galaxy Note หรือ Galaxy Tab S อย่าเอามาเขียนเชียว เดี๋ยวหน้าจอจะพังเอา เพราะหัวปากกาไม่ได้ถูกออกแบบมาสำหรับกระจก UTG
ปากกา S Pen Fold Edition และ S Pen Pro ราคาเท่าไหร่ ต่างกันยังไง ใช้กับ Samsung รุ่นไหนได้บ้าง ?
โหมด Cinematic ของ iPhone 13 ถ่ายวิดีโอเนียนราวกับมือโปร
หากบอกว่า Galaxy Z Fold 3 มีคุณสมบัติที่เป็นจุดขายคือ S Pen แล้ว ฝั่ง iPhone 13 เองก็มีโหมด Cinematic ที่เจ๋งมาก ๆ เช่นกัน สำหรับโหมดนี้จะช่วยให้ผู้ใช้งานสลับจุดโฟกัสขณะถ่ายวิดีโอได้อย่างนุ่มนวลราวกับในภาพยนตร์ และเบื้องหลังจะมีการแทรกแผนที่ความลึกเข้าไป เมื่อนำมารวมกับการเรียนรู้ของเครื่อง (machine learning : ML) ทำให้สามารถปรับระยะชัดลึกได้แบบเรียลไทม์ เป็นฟีเจอร์ที่ Apple บอกว่า ยังไม่เคยมีสมาร์ทโฟนรุ่นไหนที่ทำได้มาก่อน
iPhone 13 มีหน้าจอที่ทนทานกว่า ใช้งานได้อย่างสบายใจ ไม่มีรอยพับ
แม้ว่า Samsung จะอัปเกรดความทนทานกระจก UTG ของ Galaxy Z Fold 3 และ Flip 3 ขึ้นอย่างมาก แต่ด้วยข้อจำกัดทางกายภาพของฟิล์มพลาสติกที่ชั้นนอกสุด จึงยังทำให้เกิดรอยขีดข่วนได้ง่ายกว่ากระจกทั่วไป รวมถึงกระจก Ceramic Shield ของ iPhone 13 ด้วย ดังนั้นในการใช้งานจึงต้องระมัดระวังและทะนุถนอมมากหน่อย ไม่เหมาะกับคนที่เล็บยาว ๆ เพราะอาจไปจิกโดนได้โดยไม่ตั้งใจ
สรุปแล้วจะเลือกซื้ออะไรดี ?
หากอ่านมาถึงตรงนี้ เพื่อน ๆ คงเห็นได้ว่า Galaxy Z Fold 3 กับ Flip 3 ของ Samsung นั้นโดดเด่นสุดขั้วกับฟอร์มแฟกเตอร์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ความทนทานที่เคยเป็นจุดอ่อนในรุ่นแรก ปัจจุบันได้รับการแก้ไขแล้ว แข็งแกร่งสุด ๆ แถมยังทนน้ำ IPX8 อีก แต่มีข้อสังเกตตรงความสะดวกในการใช้งานจริงและรอยพับตรงกลางหน้าจอ ถ้าใครไม่ติดขัดกับเรื่องนี้ แน่นอนว่า…นี่คือตัวเลือกที่น่าสนใจอย่างยิ่ง
- Galaxy Z Fold 3 (256GB) – ราคา 57,900 บาท
- Galaxy Z Fold 3 (512GB) – ราคา 61,900 บาท
- Galaxy Z Flip 3 (128GB) – ราคา 34,900 บาท
- Galaxy Z Flip 3 (256GB) – ราคา 36,900 บาท
ในขณะที่ iPhone 13 ของ Apple สามารถสรุปสั้น ๆ ได้ว่า นี่คือมือถือ iOS ที่ดีที่สุด ณ ตอนนี้ แม้ภายนอกยังดูคล้ายเดิม แต่ไส้ในอัปเกรดขึ้นมาทั้งซีพียู จีพียู แบตเตอรี่ และชุดกล้อง หากต้องใช้งานระบบนี้ คงไม่มีตัวเลือกไหนเอาชนะได้แล้วล่ะครับ
- iPhone 13 mini – ราคาเริ่มต้น 25,900 บาท
- iPhone 13 – ราคาเริ่มต้น 29,900 บาท
- iPhone 13 Pro – ราคาเริ่มต้น 38,900 บาท
- iPhone 13 Pro Max – ราคาเริ่มต้น 42,900 บาท
เทียบกันยากนะ มือถือคนละ Type กัน การใช้งานก็คงละแบบ ส่วนตัวอยากได้ Flip 3 แต่ขี้เกียจเอามาพับ เปิด ๆ ปิด ๆ ตอนจะใช้งาน