เมื่อช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา เราได้เห็นข่าวเรื่องสหรัฐออกประกาศฉุกเฉินที่ออกมาห้ามบริษัทต่างๆในประเทศใช้อุปกรณ์สื่อสารโทรคมนาคมจากบริษัทต่างชาติ ซึ่งหลายฝ่ายก็รู้ว่าเป็นการทำเพื่อยกระดับสงครามการค้ากับจีนและหัวเว่ย แต่ยังไม่มีการสรุปผลที่แน่ชัดออกมาว่ามีอะไรที่จะได้รับผลกระทบบ้าง จนวันนี้ต้องพากันตื่นตระหนกเมื่อทางสำนักข่าวต่างประเทศได้ให้ข้อมูลว่าหัวเว่ยอาจจะไม่ได้ใช้งาน Android ที่มี Google เป็นแกนหลักอีกต่อไป ส่งผลให้การอัพเดทแพทช์ความปลอดภัยต่างๆอาจล่าช้า รวมถึงรุ่นใหม่ๆก็อาจจะชวดได้ใช้ Google Services ทั้งหมดอีกด้วย

Entity List บัญชีดำ ตัดการทำธุรกิจกับอเมริกา

หลังจากที่มีการประกาศฉุกเฉินออกมาเมื่อวันพุธที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐก็ได้มีการเพิ่มชื่อ Huawei และบริษัทลูกอีกกว่า 68 แห่ง เข้าไปอยู่ใน Entity List หรือบัญชีดำการซื้อขาย ซึ่งบัญชีรายชื่อนี้ครั้งหนึ่ง ZTE ก็เคยโดนมาก่อนจากการที่ลักลอบขายสินค้าให้ประเทศที่อเมริกาคว่ำบาตรอยู่อย่างอิหร่านและเกาหลีเหนือ โดยใครก็ตามที่ถูกขึ้นชื่อเอาไว้จะไม่สามารถซื้อชิ้นส่วนหรือสินค้าต่างๆจากบริษัทในอเมริกาได้ ซึ่งนั่นรวมไปถึงชิปเซตจาก Qualcomm หรือบริการต่างๆบน Android จาก Google ซึ่งภายหลังทาง ZTE ได้มีการเสียค่าปรับและตกลงกับทางการได้เรียบร้อยจึงถูกถอดออกจากรายชื่อนี้ แต่มารอบนี้ Huawei คงจะไม่สามารถจบกับสหรัฐได้ง่ายๆ ส่วน Google ที่แม้ว่าจะอยากจะทำธุรกิจกับ Huawei แค่ไหน แต่ก็ต้องยอมทางการสหรัฐอยู่ดี

Huawei แรง! ยอดขายมือถือพุ่งกว่า 50% ส่วน Apple อาการหนัก ยอดขายร่วง 30%

โดยหลังจากที่ Huawei ถูกเพิ่มรายชื่อเข้า Entity List นี้แล้ว ทาง Huawei Thailand ก็ได้ออกแถลงการณ์มาทันที

หัวเว่ยไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของสำนักงานด้านอุตสาหกรรมและความปลอดภัย (BIS) กระทรวงพาณิชย์ สหรัฐอเมริกา

การตัดสินใจนี้ไม่เป็นผลดีต่อฝ่ายใดทั้งสิ้น และยังจะสร้างความเสียหายร้ายแรงต่อบริษัทอเมริกาซึ่งหัวเว่ยทำธุรกิจด้วย รวมถึงตำแหน่งงานอีกหลายหมื่นตำแหน่ง ทั้งยังขัดขวางความร่วมมือที่ดำเนินอยู่และความไว้วางใจซึ่งกันและกันในระบบซัพพลายทั่วโลกอีกด้วย

ทั้งนี้ หัวเว่ยจะหามาตรการเยียวยาโดยทันที รวมถึงทางออกในเรื่องนี้  โดยเราจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อลดผลกระทบจากเหตุการณ์นี้

ผลกระทบต่อ Huawei และผู้ใช้มีอะไรบ้าง

Huawei จะสูญเสียการเข้าถึงการอัพเดทต่างๆของ Android OS ทันทีและสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ที่จะวางจำหน่ายในอนาคตไม่สามารถเข้าถึงแอปพลิเคชั่นและบริการจาก Google ได้ รวมถึง Google Play Store และ Gmail อีกด้วย – Reuters

หลังจากมีประกาศนี้ออกมา Google เองก็มีการประชุมกันภายใน ส่วน Huawei เองก็กำลังศึกษาถึงผลกระทบที่ตามมาแบบละเอียดซึ่งปัจจุบันทั้งคู่ยังไม่มีแถลงการณ์ออกมาอย่างเป็นทางการ แต่สำนักข่าวต่างประเทศชื่อดังอย่าง Reuters ได้รายงานถึงผลกระทบที่แหล่งข่าวได้ให้เอาไว้ ดังนี้

  • Huawei จะยังสามารถเข้าถึง Android OS ได้ผ่าน Open Source License
  • Google จะหยุดการซัพพอร์ตและความร่วมมือต่างๆที่เกี่ยวกับ Android และ Google Services ทั้งหมดทันที

อธิบายเพิ่มเติมสำหรับคนที่อาจจะไม่เข้าใจ แต่เริ่มเดิมทีจนถึงปัจจุบัน Google ได้สร้างระบบปฎิบัติการ Android ขึ้นมาเป็นแบบเปิด (Open Source) ที่ใครๆก็สามารถดึงเอาซอร์สโค้ด (Source Code) หรือชุดโปรแกรมที่ถูกสร้างและคิดค้นมานี้ไปใช้งานปรับแต่งกันได้เองแบบไม่มีค่าใช้จ่าย โดยเรียกว่า AOSP (Android Open Source Project) เปรียบเทียบให้เห็นภาพก็เหมือน Google คิดค้นเครื่องจักรขึ้นมาแล้วเปิดพิมพ์เขียวบอกรายละเอียดทั้งหมดให้ ว่ามันทำงานยังไง ใช้ชิ้นส่วนอะไรในการผลิตบ้าง ใครอยากจะทำตามหรือดัดแปลงก็คัดลอกเอาพิมพ์เขียวนี้ไปใช้ได้เลย พอ Android ออกเวอร์ชั่นใหม่หรือมีอัพเดทความปลอดภัยทีนึง Google ก็จะมาอัพเดทตัวพิมพ์เขียวนี้ให้เรื่อยๆด้วย

อย่างไรก็ดีตัวซอร์สโค้ดหรือพิมพ์เขียวที่ว่านี้ จะไม่ได้รวมถึงแอปและบริการต่างๆของ Google ที่เป็นหัวใจหลักอีกส่วนของ Android ทุกวันนี้ไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็น Play Store แหล่งโหลดแอปทั้งหมดที่เราใช้ๆกัน, Google Account ที่เอาไว้ซิงก์ข้อมูลต่างๆ, หรือบริการชื่อดังจาก Google ไม่ว่าจะเป็น Google Maps, Gmail, YouTube, Google Drive, Google Photos, Google Docs และอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งการที่จะรวมเอาบริการของ Google เข้าไปเป็นแกนหลักของ Android เครื่องต่างๆได้นั้น จะต้องได้รับไลเซนส์อนุญาติจากกูเกิ้ลก่อนเท่านั้น นอกจากนี้ก็จะมีแพทช์อัพเดทความปลอดภัยที่ Google จัดทำและคุยกับแต่ละแบรนด์อยู่ตลอด ทำให้สามารถส่งอัพเดทเพิ่มความปลอดภัยให้ผู้ใช้ได้อย่างรวดเร็วในแต่ละเดือนอีกด้วย ซึ่งทั้งหมดที่ว่ามาในย่อหน้านี้ Huawei จะถูกระงับทันที เพราะ Google จำต้องถอดไลเซนส์นี้ทิ้งหลังประกาศฉุกเฉินจากทางการมา

  • สินค้าที่วางจำหน่ายไปแล้วไม่ว่าจะเป็น Huawei P30 Series หรือ Mate 20 Series รวมถึงลูกค้าปัจจุบัน จะยังใช้งานบริการ Google ทั้งหมดได้ตามปกติ ไม่มีปัญหาอะไร แต่จะไม่ได้รับอัพเดทความปลอดภัยจาก Google อีกต่อไป
  • สินค้าที่กำลังวางจำหน่ายในอนาคต เช่น Huawei Mate 30 Series อาจไม่มี Google Services ทั้งหมด
  • Huawei ยังสามารถเข้าถึง AOSP ได้ตามปกติ ซึ่งหมายถึงว่าหาก Google มีการเอาแพทช์ความปลอดภัยอัพขึ้น AOSP แล้ว Huawei ก็ยังสามารถเอามาปล่อยอัพเดทให้ผู้ใช้ได้ต่อไป

โดย Huawei เตรียมจะเปิดตัวสมาร์ทโฟนอีกรุ่นคือ Honor 20 ในวันอังคารที่จะถึงนี้ที่ลอนดอน ซึ่งคงต้องรอติดตามกันว่าจะถูกระงับเลยหรือจะยังสามารถใช้งานได้ตามปกติ

ไม่ใช่แค่ Google แต่คาดว่า Microsoft ก็โดนด้วย

Huawei ไม่ได้มีผลิตภัณฑ์สำหรับผู้บริโภคเพียงแค่สมาร์ทโฟนเท่านั้น แต่ที่เริ่มได้รับความนิยมขึ้นมาไม่แพ้กันก็คือ Matebook นั่นเอง ซึ่งระบบปฎิบัติการที่ใช้อยู่ก็ Windows จาก Microsoft ที่เป็นบริษัทของอเมริกาเช่นกัน ถ้าหากว่า Google – Android ยังโดน ทาง Microsoft – Windows ก็น่าจะปลิวไปตามๆกัน น่าเป็นห่วงว่าถ้า Windows ใน MateBook ไม่สามารถอัพเดทได้นั้น ก็อาจจะหมายถึงว่าหากมีช่องโหว่ความปลอดภัยที่ร้ายแรงออกมา ผู้ใช้งานก็จะมีความเสี่ยงทันทีเลย แต่ความน่าห่วงนี้ก็จะดูไม่มีผลทันที หากการแบนนี้รวมไปถึง Huawei ไม่สามารถสั่งซื้อชิปเซตของ Intel มาใช้ประกอบ MateBook ได้อีกอย่างด้วย!?!!

OPPO, Vivo, Xiaomi และบริษัทจีนอื่นๆ ยังไม่มีข้อมูล แต่คาดว่าน่าจะรอด

เมื่อเห็นว่า Huawei – Honor ซึ่งเป็นบริษัทจีนโดนแบนจากอเมริกาแบบนี้แล้ว สมาร์ทโฟนรายอื่นๆ จากแดนมังกรจะโดนหางเลขไปด้วยหรือไม่นั้น ตรงนี้ตามความเข้าใจของผู้เขียนเองคือน่าจะไม่มีปัญหา เพราะที่โดนหนักๆจะมีเพียงแค่บริษัทที่ถูกบรรจุเข้าไปใน Entity List เท่านั้น และตามข่าวคือจะมีเพียงหัวเว่ยและบริษัทในเครือเท่านั้น ยังไม่มีรายงานว่าสมาร์ทโฟนแบรนด์จีนเจ้าอื่นถูกบรรจุเข้าไปด้วยหรือไม่ ซึ่งทางเราจะติดต่อขอคำชี้แจงจากแบรนด์ต่างๆให้ได้ทราบกันต่อไป

Huawei เคยบอกว่าเตรียมรับมือเอาไว้แล้ว แต่จบสงครามการค้าได้คือดีที่สุด

แผนสำรอง.. Huawei ซุ่มพัฒนาระบบปฏิบัติการใหม่ ครอบคลุมทั้งสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต และคอมพิวเตอร์

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีการพูดถึงการแบนหัวเว่ยหรือจีนจากสหรัฐ โดยมีการสอบถามถึงความพร้อมกันเอาไว้ตั้งแต่เมื่อต้นปี 2018 ซึ่ง ณ ตอนนั้นทาง Richard Yu ได้เปิดเผยว่ามีการพัฒนาระบบปฎิบัตการกันภายในอยู่ โดยจะเป็น OS ที่สามารถใช้งานได้ทั้งมือถือ แท็บเลต และโน๊ตบุ๊คได้เลย แต่ปัจจุบันก็ยังไม่เคยมีใครเห็นหน้าคร่าตาของ OS นี้ และเชื่อว่าน่าจะยังไม่มีนักพัฒนาเจ้าไหนทำแอปให้แต่อย่างใด ซึ่งการสร้างระบบปฎิบัติการขึ้นมาใหม่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ระบบนิเวศน์ (Ecosystem) เป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาและทรัพยากรที่สูงมาก แถมมีมาตรการแบบนี้ออกมาอีกการจะได้เห็นบริการจาก Google Facebook Instagram ไปลงใน OS นี้ก็แทบจะเป็นไปไม่ได้อีก ดังนั้นต่อให้เตรียมรับมือไว้แค่ไหน แต่การสูญเสียทั้ง Android และ Windows ไปก็ยังถือว่าอ่วมอยู่ดีสำหรับ Huawei ซึ่งดูเหมือนว่าการจบสงครามการค้าระหว่างสองประเทศนี้ลงได้ ก็ดูจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับทุกฝ่ายหัวเว่ยเอง รวมถึงผู้บริโภคที่ถูกจับเอามาเป็นตัวประกันในครั้งนี้ด้วย

และไม่ว่าสงครามการค้าครั้งนี้จะจบอย่างใด เชื่อว่าโลกเทคโนโลยีจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงทางใดก็ทางหนึ่ง เพราะการที่สหรัฐจับเอา Google Microsoft Facebook Intel และบริษัทเทคโนโลยีชื่อดังต่างๆ มาใช้ต่อรองทางการเมืองได้แบบนี้ หลายประเทศก็น่าจะไม่ชอบใจเท่าไหร่เช่นกัน

 

อ่านต่อเพิ่มเติมจาก Reuters | Exclusive: Google suspends some business with Huawei after Trump blacklist – source

และ Android Authority | Huawei has immediately lost access to Android and Google และ TheVerge | Google pulls Huawei’s Android license, forcing it to use open source version