นับเป็นความเคลื่อนไหวล่าสุดของ Google เกี่ยวกับกรณีปัญหาสภาวะการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศของโลก หรือ “Climate Change” ซึ่งครั้งนี้เป็นการประกาศขอแบนขั้นเด็ดขาดสำหรับเนื้อหาที่เข้าข่าย “ปฏิเสธข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องกับปัญหาโลกร้อนทุกกรณี” ซึ่งนับรวมทั้งเนื้อหาของผู้สร้างสรรค์คอนเทนต์และเนื้อหาโฆษณาบนทั้งแพลตฟอร์ม Google และ YouTube หลังมีการสำรวจพบว่าเนื้อหาบิดเบือนดังกล่าวอาจได้รับการเข้าชมสูงถึง 21 ล้านครั้งตลอดปี 2020 ที่ผ่านมา
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าปัจจุบัน ปัญหาที่จำเป็นเร่งด่วนสำหรับประชากรโลกคือความพยายามร่วมกันจัดการกับสภาวะการเปลี่ยนทางภูมิอากาศของโลกที่เป็นไปอย่างฉับพลัน (Climate Change) ไม่ว่าจะเป็นปัญหาสภาพอากาศที่แปรปรวนบ่อยครั้งขึ้นทั่วโลก ตลอดจนการเกิดพายุและน้ำท่วมนอกฤดูกันไปทั่ว หรือที่เรียกกันอย่างเข้าใจง่าย ๆ ว่า “สภาวะโลกร้อน” นั่นเอง ปัญหานี้นับเป็นหนึ่งในโจทย์ใหญ่ของทั้งภาครัฐและเอกชนทุกภาคส่วนที่ต้องเร่งมือและร่วมมือกันแก้ไขอย่างจริงจัง
Google – YouTube ประกาศแบนทั้งผู้สร้างคอนเทนต์และผู้ซื้อโฆษณาเนื้อหา “ปฏิเสธข้อเท็จจริงของสภาวะโลกร้อน”
Google ในฐานะหนึ่งในผู้นำสำคัญจากภาคเอกชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านข้อมูลข่าวสารของคนทั้งโลก (ในยุคที่คิดอะไรไม่ออกก็แค่เสิร์จ Google) ถึงกับอยู่นิ่งไม่ได้ หลังได้รับรายงานผลสำรวจจาก NGO ด้าน Climate Change ชื่อดังอย่าง Avaaz เผยว่า เนื้อหาที่เข้าข่าย ปฏิเสธ หักล้าง หรือต่อต้านการมีอยู่จริงของสภาวะโลกร้อน (Climate Denial) ได้รับการเข้าชมกว่า 21 ล้านครั้งตลอดปี 2020 บนแพลตฟอร์มของ Google ตัวอย่างเนื้อหาเช่น
การเขียนข่าวอธิบายว่าสภาวะโลกร้อนเป็นเรื่องโกหกทั้งเพของประเทศพัฒนาแล้วเพื่อขายเทคโนโลยี หรือการซื้อพื้นที่ข่าวเพื่อสนับสนุนให้คนใช้พลังงานฟอสซิล (น้ำมัน) ต่อไปเพราะพลังงานทางเลือกหรือพลังงานสะอาดเป็นสิ่งที่หลอกลวง เป็นต้น
งานนี้ทำให้ Google ในฐานะเจ้าของแพลตฟอร์มทั้งเนื้อหาและโฆษณาที่ใหญ่ที่สุดในโลกประกาศทันควัน สั่งแบนเนื้อหาประเภทดังกล่าวจากทั้งผู้ผลิตเนื้อหา เจ้าของพื้นที่โฆษณา และผู้ซื้อโฆษณา โดยจะใช้วิธีแบนทั้งเนื้อหาและสั่งระงับจ่ายรายได้สำหรับผู้ผลิตเนื้อหาอีกหรือเจ้าของพื้นที่ลงโฆษณาทุกกรณี เพื่อให้แน่ใจว่า Google – YouTube จะไม่ตกเป็นเครื่องมือของกลุ่มอนุรักษ์นิยมสุดโต่งที่ไม่ได้ใช้เหตุผล หรือข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์มาหักล้างการเกิดขึ้นจริงของสภาวะโลกร้อน ที่ทั้งโลกกำลังให้ความสำคัญร่วมกันอยู่ และต้องจัดการอย่างจำเป็นเร่งด่วนในขณะนี้นั่นเอง
อ้างอิง: CNN Business | BBC
Comment