หลังจากเสพย์ข่าวหลุดข่าวลือต่างๆไปมากมาย ในที่สุดข้อมูลจริงก็ถูกเปิดเผยไปเรียบร้อย ในงานเปิดตัว Samsung Unpacked : Galaxy S6 และ Galaxy S6 edge ตรงตามข่าวลือก่อนหน้าแทบทุกประการ ทั้งการเปลี่ยน UI/UX และลดแอพขยะในเครื่อง ยกเว้นหน้าตาที่ของจริงดูดีกว่าภาพหลุดมากมาย ถึงขั้นที่หลายๆคนเอ่ยปากบอก “ซื้อ” แน่นอนเมื่อมันออกมา โดยมีฟีเจอร์อื่นๆที่น่าสนใจอีกมากมายอย่าง ชาร์จไว + ไร้สาย, กล้องถ่ายแสงน้อยได้ดี, และ Samsung Pay

 

DESIGN : ดีไซน์ วัสดุ ดูดีมีราคา สมกับเป็นมือถือ Flagship

ดีไซน์และวัสดุของ Galaxy S6 ถือว่า Samsung ทำการบ้านมาได้ดี ฉีกภาพเดิมๆในหัวผู้ใช้เรื่อง “Samsung Galaxy = พลาสติก” ทิ้งไปได้ จากก่อนหน้านี้ก็ได้เปลี่ยนไปใช้วัสดุเป็นโลหะทั้งตัวกับ Galaxy A Series ไปแล้ว และมีคนตอบรับดีมาก แต่ Galaxy S6 ก็เพิ่มความดูดีขึ้นไปอีก โดยยังคงเลือกใช้เฟรมเป็นโลหะที่เคลมว่าแข็งแกร่งกว่าชาวบ้าน 50% เครื่องไม่งอง่ายๆ และใช้แผ่นกระจก Gorilla Glass 4 ปิดเข้าไปด้านหลังเพิ่มความมันวาวเข้าไป เวลาสะท้อนแสง สีเครื่องจะเด่นขึ้นมาเป็นหลายๆเฉด ดูสวยงามกว่าคลิปที่หลุดมาก่อนหน้าทั้งหมดเลย


Galaxy S6 edge (ขาว เขียว ทอง น้ำเงิน) Galaxy S6 (ดำ ทองฟ้า ขาว)

และจากข่าวหรือภาพที่หลุดมาก่อนหน้าซึ่งหลายๆคนมองว่า Galaxy S6 มันเหมือน iPhone 6 จนน่าเกลียด แต่เมื่อได้เห็นภาพจริงมันก็ไม่ได้ขนาดนั้น ที่ทำให้คล้ายที่สุดคงเป็นของเครื่องที่ดันไปทำให้มันมนตามกัน แต่เรื่องลำโพงที่ย้ายมาอยู่ด้านล่างก็พอเข้าใจได้ว่าเพราะด้านหลังเป็นกระจก และเมื่อไปดู Galaxy S6 edge ก็กลายเป็นงานที่ดูมีความเป็น Originality ขึ้นมาทันที เพราะในตลาดไม่มีใครเหมือน และทำได้นั่นเอง

Play video

ประโยชน์ใช้สอยของ Edge Screen บน Galaxy S6 นอกเหนือจากที่เราได้เคยเห็นบน Galaxy Note 4 ไปแล้วนั้น ก็จะเป็นเรื่องของการปรับแต่งสี Contact หรือการแจ้งเตือน ที่ทำให้เราสามารถรู้ได้ทันทีว่ามีใครโทรเข้ามา แม้เราจะคว่ำเครื่องอยู่ก็ตามจากแสงสะท้อนของ Edge Screen และมีการเพิ่มความสามารถให้เราสามารถใช้ Gesture ลากจากขอบจอเพื่อเรียก People Edge ได้

Galaxy S6 Edge Screen

จากการเปลี่ยนแปลงด้านวัสดุที่ใช้นี้ ทำให้มีความเป็นไปได้สูงว่า Samsung มีสิทธิ์จะสงวนดีไซน์นี้เอาไว้สำหรับมือถือระดับ Flagship เท่านั้น ด้วยต้นทุนที่น่าจะแพงขึ้นอยู่พอตัว ลดปัญหาที่หลายๆคนบ่นว่ารุ่นเล็กรุ่นใหญ่หน้าตาคล้ายกันเกินไปลงทันที

 

Performance : จัดเต็มเรื่องฮาร์ดแวร์ ยกเครื่องเรื่องซอฟท์แวร์

สเปคของ Galaxy S6 นี้ก็ไม่ได้ต่างอะไรจากที่หลุดมาก่อนหน้ามาก ซึ่งเสปคอย่างเป็นทางการของมันก็ตามนี้เลยครับ 

  • Android 5.0 (Lollipop)
  • CPU: Exynos 7420 Octa-core 64-bit (Quad 2.1GHz + Quad 1.5GHz)
  • (S6) หน้าจอ Super AMOLED ขนาด 5.1” ความละเอียด Quad HD (2560×1440) ~557ppi
  • (S6 edge) สเปคเดียวกับ S6 แต่เป็นจอแบบ Dual edge
  • RAM: 3GB LPDDR4
  • หน่วยความจำ 32/64/128GB, UFS 2.0 (ไม่รองรับ microSD อาจจะได้เห็นทั้ง 3 รุ่นวางขายในไทย)
  • กล้องหลัง 16 ล้านพิกเซล + OIS + f1.9
  • กล้องหน้า 5 ล้านพิกเซล + f1.9
  • แบตเตอรี่ (S6) 2,550mAh, (S6 edge) 2,600mAh
  • ชาร์จแบตไร้สายรองรับทั้ง 2 มาตรฐาน WPC1.1(4.6W Output) & PMA 1.0(4.2W)
  • (S6) ขนาดและน้ำหนัก 143.4 x 70.5 x 6.8mm, 138g
  • (S6 edge) ขนาดและน้ำหนัก 142.1 x 70.1 x 7.0mm, 132g
  • รองรับ 2G/3G/4G สูงสุด LTE Cat.6 (300/50Mbps)
  • WiFi: 802.11 a/b/g/n/ac (2.4/5GHz), HT80 MIMO(2×2) 620Mbps, Dual-band, Wi-Fi Direct, Mobile hotspot
  • Bluetooth® v4.1, A2DP, LE, apt-X, ANT+
  • USB 2.0, NFC, IR Remote
  • Sensor: Accelerometer, Light, Gyroscope, Proximity, Compass, Barometer, Fingerprint, Hall, HRM


ไม่ต้องบ่นกันเรื่อง Snapdragon หรือ Exynos กันอีกต่อไป เมื่อทาง Samsung เลือกใช้แต่เพียง Exynos เท่านั้นบน Galaxy S6 และ S6 edge ตามข่าวลือก่อนหน้าที่ว่า Snapdragon 810 ยังทำออกมาได้ไม่สมบูรณ์ มีปัญหาเรื่องความร้อนอยู่ ซึ่งทาง Samsung ก็เคลมว่านี้เป็นตัวประมวลผลที่ดีที่สุดในตลาดตอนนี้ ทั้งขนาดที่เล็กลงไปถึง 14nm ประหยัดพลังงานลงไปได้ถึง 35% 


Qualcomm รับสภาพ Galaxy S6 จะไม่ใช้ Snapdragon 810 สุดท้ายอาจมีใช้งานแค่ไม่กี่รุ่น

เรื่องหน่วยความจำก็เป็นเจ้าแรกๆที่เปลี่ยนมาใช้เป็นแรม DDR4 ซึ่งมีประสิทธิภาพดีขึ้นถึง 80% และตัวอ่านข้อมูลก็ใช้เป็น Universal Flash Storage 2.0 ที่ทำให้มีประสิทธิภาพอ่าน-เขียนดีขึ้นกว่าเดิม แต่ถือเป็นเรื่องที่เศร้าที่สุดของ Galaxy S6 ก็ว่าได้เมื่อ Samsung ตัดสินใจถอดการรองรับ microSD ออกไป ทำให้พวกเราไม่สามารถซื้อเมมเติมได้ อยากได้พื้นที่เพิ่มก็ต้องซื้อเครื่องที่ราคาแพงขึ้นเหมือน Apple นั่นเอง

ด้วยดีไซน์ใหม่ของ Samsung Galaxy S6 ฝาหลังจะไม่สามารถเปิดขึ้นมาเปลี่ยนแบตได้ดังเดิม แต่ในงานเปิดตัวก็ย้ำว่าพวกเขามั่นใจในการจัดการพลังงานว่าสามารถอยู่ทนต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ตัว Hardware กินไฟน้อยลง และชาร์จไวเป็นพิเศษด้วย เหมาะสำหรับคนที่ต้องเดินทางบ่อยๆมีเวลาชาร์จในแต่ละที่ไม่นานมาก แค่ 10 นาทีก็ใช้งานได้ยาวนานถึง 4 ชม.(แต่ไม่ได้บอกว่าใช้งานด้านไหนนะ) เทียบกับ Galaxy S5 แล้วชาร์จไวขึ้น 1.5 เท่า และเทียบกับ iPhone 6 จะเร็วกว่ากันเป็นเท่าตัว

Wireless Charging (ชาร์จไฟไร้สาย) จุดเด่นที่ทำให้ Samsung Galaxy S6 ดูเด่นขึ้นกว่ารุ่นอื่นๆคือใส่มาให้เลยจากโรงงานไม่ต้องมาเปลี่ยนฝาหลังให้วุ่นวายอีก แถมรองรับทั้งสองมาตรฐาน WPC & PMA ใช้แท่นชาร์จไฟได้ทั้งแทบทุกรุ่นทั่วโลก

 


Built-in ตัวรับไฟที่แผ่นหลัง แต่แท่น Wireless Charger (กลมๆด้านล่าง) ขายแยกนะ

ด้านซอฟท์แวร์ มีการรื้อ UI/UX ของ TouchWiz เดิม เปลี่ยนให้มีความลื่นไหลและสมูท หน้าตามีความเป็น Material Design มากขึ้นมาก ตามข่าวที่หลุดออกมาก่อนหน้านี้ (แต่คงต้องลองจับจริงอีกทีว่าจะลื่นและเนียนขึ้นขนาดไหน) ส่วนตัวแอพก็มีการตัดออกไปมากมายตามข่าวลือก่อนหน้า แต่ก็มีเพิ่มเข้ามาบางส่วนอีกเช่นกัน 

 แอพที่หลงเหลืออยู่ และเพิ่มเข้ามา (*)

  • Ultra Power Saving Mode

  • Download Booster

  • S Health 4.0

  • Quick Connect

  • Private Mode

  • S Finder, S Voice

  • *Samsung Pay

  • *Smart Manager

  • *Microsoft Apps(OneDrive 115GB ฟรี 2 ปี, OneNote)

  • *Sound Alive+

  • *Themes


S Finder และ Quick Connect ยังตามมาหลอกหลอน แต่ต้องรอดูว่าจะยังอยู่ที่เดิมรึเปล่า

ที่น่าสนใจคือไม่ได้แถม Dropbox และ Evernote เหมือนแต่ก่อน แต่เปลี่ยนไปใช้บริการของ Microsoft OneDrive และ OneNote แทน ซึ่งอาจจะเป็นส่วนหนึ่งของดีลที่ได้เจรจากับ Microsoft ไปก่อนหน้า


ที่เราเคยเสนอไปมีกาเพลินไปหลายอัน จริงๆก็ยังอยู่อีกเพียบ และเพิ่มขึ้นมาอีกเพียบ ^^

และที่ต้องรอติดตามอีกเรื่องคือ Samsung Pay ที่ได้ไปซื้อกิจการของ Looppay มาอีกทีนึง ซึ่งมีจุดเด่นอยู่ที่มีร้านค้าพร้อมใช้งานทันทีแทบจะทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทย โดยแค่เอา Galaxy S6 ไปแตะกับเครื่องรูดบัตรปกติธรรมดาในปัจจุบัน ก็สามารถใช้จ่ายได้ทันที เจ๋งกว่าตัว Apple Pay เสียอีก (เจ๋งจนไม่อยากให้ Samsung เก็บเอาไว้ใช้คนเดียวเลยด้วยซ้ำ)

ความสามารถของ Looppay ที่ปัจจุบันถูก Samsung ซื้อและยัดความสามารถลงไปใน Galaxy S6
Play video

กล้องบน Samsung Galaxy S6 มีการเคลมว่าพัฒนาขึ้นกว่าเดิมมาก ด้วยความละเอียดกล้องหลังที่ 16 ล้านพิกเซล กล้องหน้า 5 ล้านพิกเซล ทั้งคู่รูรับแสงกว้างถึง f1.9 และความเร็วในการเปิดกล้องที่ต่ำเพียง 0.7 วินาที นับเวลาตั้งแต่เครื่องพักหน้าจออยู่ 


ในการเปิดตัวจะค่อนข้างเน้นย้ำไปที่เรื่องการถ่ายภาพย้อนแสงและสภาพแสงน้อย ที่หลายๆรุ่นยังทำได้ไม่ดีอยู่ แต่ Galaxy S6 จะสร้างความแตกต่างตรงนี้ ทั้งกล้องหน้าที่ใส่การถ่ายภาพแบบ Realtime HDR มาให้เป็นตัวแรก และมีการเปรียบเทียบการถ่ายภาพในที่มืดกับ iPhone 6 ว่าทำได้ดีกว่ากันเป็นเท่าตัว ทั้งในโหมดกล้องถ่ายภาพและวิดีโอ


ภาพถ่ายเปรียบเทียบ iPhone 6 Plus vs Galaxy S6


ภาพจากกล้องวิดีโอเปรียบเทียบ iPhone 6 Plus vs Galaxy S6

galaxy s6 focus tracking
จุดโฟกัสสามารถปรับให้เลื่อนตามวัตถุที่เคลื่อนไหวได้ 

ความสามารถของกล้องถ่ายภาพบน Samsung Galaxy S6

Quick Launch, Tracking AF, Auto Real-time HDR(Front & Rear) , F1.9, Low Light Video(Front & Rear), High Clear Zoom, IR Detect White Balance, Virtual Shot, Slow Motion, Fast Motion, Pro Mode, Selective Focus 

 

นอกจากนี้ ในงานเปิดตัวจะมีพูดเรื่องการนำเอา Galaxy S6 ไปใช้งานองค์กรด้วยซึ่งบอกว่า Samsung Knox จะเป็นตัวที่ช่วยให้ Galaxy S6 มีความปลอดภัยจากเหล่าไวรัส มัลแวร์ หรือการล้วงข้อมูลต่างๆ ซึ่งได้รับความไว้วางใจให้นำเอาไปใช้ในทางการทหารได้เลย ถ้าบริษัทไหนที่เน้นเรื่องความปลอดภัยก็ขอแนะนำ และมันก็ทำงานร่วมกับ Mobile Device Management ค่ายต่างๆได้ด้วย

ไปดูคลิปโปรโมทอันนี้สรุปความสามารถของ Galaxy S6 กันครับ
Play video

วัน เวลา และราคาวางจำหน่าย

ทั้ง Galaxy S6 และ Galaxy S6 Edge จะเริ่มวางขายวันที่ 10 เมษายน 2015 เริ่มต้น 20 ประเทศ (ไม่ได้ระบุว่ามีใครบ้างแต่เชื่อว่าน่าจะมีไทยด้วย) แล้วจึงขยายไปทั่วโลกต่อไป มี 3 ความจุให้เลือกคือ 32GB 64GB และ 128GB แต่ตัวที่คาดว่าจะเข้าไทยคือ 32GB เนื่องจากไม่รองรับ microSD จึงน่าจะได้เห็นทั้ง 3 ความจุเข้าไทยทั้่งหมด ส่วนเรื่องราคาก็ยังไม่ได้เปิดเผย แต่ถ้าให้เดา ยังไงก็มีขั้นต่ำเท่ากับ Galaxy S5 ตอนเปิดตัวใหม่ๆ 23,xxx บาท ครับ


ทิ้งท้าย

หลังจากที่ผิดหวังกันไปเยอะจาก Samsung Galaxy S5 แต่เมื่อมาถึง Galaxy S6 ก็ต้องบอกว่า Samsung กู้ชื่อเสียงกลับคืนมาได้ค่อนข้างดี ทั้งเรื่องดีไซน์และวัสดุที่ฉีกให้ตัวเองแตกต่างอย่างชัดเจนมากขึ้น ใส่ฟีเจอร์สำคัญๆและผู้ใช้ต้องการใช้จริงๆลงไป กล้าเปิดหน้าชกกับ iPhone แบบตรงๆในหลายๆเรื่อง จนเรียกได้กว่าเป็นการกลับมาอย่างสมเกียรติของ S Series ที่แต่ก่อนหลายๆคนจะมองว่ามันไม่สมราคา มีแต่ของที่ไม่จำเป็นยัดใส่เข้าไปจนบวมและไม่น่าใช้ แต่ท้ายที่สุดก็คงต้องรอดูเรื่องราคา ว่าจะเปิดมาได้เซอร์ไพรส์แบบไหน จ๊ากหรือเจ๋ง ซึ่งนั่นก็จะเป็นตัวกำหนดยอดขาย และอนาคตของ Samsung ในปีนี้ต่อไปครับ