ได้ฤกษ์เปิดตัวกันไปเรียบร้อยแล้วสำหรับมือถือ iPhone รุ่นใหม่ทั้ง 3 รุ่น นำทัพโดยพี่ใหญ่ iPhone Xs และ iPhone Xs Max ตามด้วยน้องเล็กอย่าง iPhone Xr ซึ่งแน่นอนว่าคราวนี้ได้มีการอัพเกรดทั้งดีไซน์ สเปค และฟีเจอร์ใหม่ๆ เข้ามาด้วย

iPhone XS / iPhone XS Max

เริ่มต้นที่รุ่นใหญ่อย่าง iPhone Xs และ iPhone Xs Max ที่ต่างกันตรงขนาดของหน้าจอ โดย Xs จะมีหน้าจอ OLED ขนาด 5.8 นิ้ว (ความละเอียด 2436 x 1125) ส่วน Xs Max มีหน้าจอ OLED ขนาด 6.5 นิ้ว (ความละเอียด 2688 x 1242) ซึ่งถือว่าเป็น iPhone รุ่นที่มีหน้าจอใหญ่ที่สุดเท่าที่ Apple เคยทำออกมาเลยทีเดียว

นอกจากนี้ทั้ง 2 รุ่นยังรองรับการแสดงผลแบบ HDR ที่มีการแสดงผลสีต่างๆ ได้อย่างแม่นยำอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นสีดำที่ดำสนิท แต่ก็ยังสามารถแสดงสีอื่นๆ ที่อยู่ในฉากเดียวกันได้อย่างไม่ผิดเพี้ยนเลย ส่วนการดูคอนเทนท์ความคมชัดสูงจาก Netflix, Amazon Prime Video ก็ยังรองรับภาพแบบ HDR10 และ Dolby Vision อีกด้วย

ชิป A12 Bionic รุ่นใหม่ ก็มาพร้อมกับความแรงและเร็วแบบหายห่วง เพราะคราวนี้ชิปดังกล่าวมาพร้อมกับระบบ Neural Engine ที่จะเข้ามาช่วยประมวลผลการถ่ายภาพ, เล่นเกม, AR และอื่นๆ ให้มีความลื่นไหลกว่าและประหยัดพลังงานกว่าเดิม บวกกับ GPU ตัวใหม่ที่พัฒนาโดย Apple เอง ทำให้กราฟฟิค 3 มิติ ในเกมมีความสวยงามมากขึ้น แถมยังใช้ตัดจ่อวิดีโอได้มีประสิทธิภาพกว่าเดิม

เกม Elder Scrolls : Blade ที่รีดประสิทธิภาพ GPU รุ่นใหม่ได้แบบเต็มที่

กล้องหลังคู่ความละเอียด 12MP + 12MP ที่มาพร้อมกับเซ็นเซอร์ใหม่แถมยังมี OIS ทั้ง 2 ตัว บวกกับระบบ Neural Engine ทำให้การถ่ายภาพของ iPhone Xs และ Xs Max ดีขึ้นกว่ารุ่นก่อนๆ แถมคราวนี้การถ่ายภาพ Portrait Mode เรายังสามารถปรับแต่งระดับความเบลอหลังจากถ่ายภาพได้ด้วย

ส่วนการถ่ายวิดีโอก็รองรับการถ่ายที่ความละเอียด 4K สูงสุดถึง 60 fps และมีการอัดเสียงแบบ Stereo อีกด้วย

และไม่ใช่แค่กล้องหน้าเท่านั้น ที่ได้รับการพัฒนาให้ดีขึ้น แต่กล้องหน้าความละเอียด 7MP ก็ได้รับการอัพเกรดด้วยเช่นกัน โดยมีกล้อง TrueDepth ที่เข้ามาทำให้การถ่ายภาพ Portrait Mode มีความสวยงามเป็นธรรมชาติมากขึ้น

แบตเตอรี่ที่ใช้งานได้ยาวนานกว่าเดิม โดย iPhone Xs สามารถใช้งานได้นานกว่า iPhone X ครึ่งชม. และ iPhone Xs Max ใช้ได้นานกว่าถึง 1 ชม. ครึ่ง เลยทีเดียว นอกจากนี้ยังรองรับการชาร์จไร้สายด้วยนะ

ส่วนอีก 1 ฟีเจอร์ที่แฟนๆ หลายคนรอคอยกันมานานก็คือ iPhone ทั้ง 2 รุ่นนี้ รองรับการใช้งาน 2 SIM แล้ว โดยจะใช้ eSIM 1 เบอร์ และเป็น SIM Card อีก 1 เบอร์

iPhone XR

สำหรับรุ่นเล็กอย่าง iPhone XR ก็จะยกสเปคของรุ่นพี่มาแทบจะทั้งหมดเลย จะมีส่วนต่างก็คือหน้าจอที่จะเป็นแบบ LCD ขนาด 6.1 นิ้ว ความละเอียด 1792 x 828 ที่มีการแสดงผลต่างๆ ได้อย่างแม่นยำและคมชัด

ส่วนกล้องหลังของ iPhone XR ก็จะถูกลดสเปคลงจากรุ่นพี่ โดยเหลือกล้องความละเอียด 12MP เพียง 1 ตัว แต่ยังคงมาพร้อมกับระบบ Neural Engine เข้ามาช่วยประมวลผลภาพถ่ายด้วย ส่วนฟีเจอร์การปรับระดับความเบลอของฉากหลังก็ยังคงมีมาให้อีกเช่นกัน

iPhone XS จะวางจำหน่ายด้วยกันทั้งหมด 3 สี คือ Silver, Gold และ Space Gray มีความจุให้เลือก 3 แบบ คือ 128GB / 256GB / 512GB มีราคาเริ่มต้นที่ 999 ดอลลาร์ (ประมาณ 32,674 บาท) ส่วน iPhone XS Max ก็มีสีและความจุให้เลือกเหมือนกัน และมีราคาเริ่มต้นที่ 1,099 ดอลลาร์ (ประมาณ 35,940 บาท

ส่วนรุ่นเล็ก iPhone XR จะมีให้เลือกด้วยกันทั้งหมด 6 สี คือ (Product) Red, Yellow, White, Coral, Black และ Blue มีความจุให้เลือก 3 แบบ คือ 64GB / 128GB / 256GB มีราคาเริ่มต้นที่ 749 ดอลลาร์ (ประมาณ 24,494 บาท)

สำหรับในบ้านเราก็ไม่ได้อยู่ในประเทศ Tier 1 นะครับ ก็เลยจะไม่ได้เห็นกันเร็วๆ นี้แน่นอน เอาไว้ถ้ามีข้อมูลเพิ่มเติมไม่ว่าจะเป็นราคา รุนที่วางจำหน่าย และวันวางจำหน่ายออกมาเมื่อไหร่ เราจะเอามาอัพเดทให้นะครับ