โดยทั่วไปแล้วในตลาดเกมคอนโซล หากมีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย ผู้ผลิตมักเลือกที่จะวางจำหน่ายในเท่าเดิม แล้วไปลดราคาโมเดลดั้งเดิมแทน แต่สิ่งที่นินเท็นโดทำกับ Nintendo Switch (OLED model) นั้นแตกต่างออกไป เพราะมีการบวกราคาเพิ่มไปอีก 50 เหรียญ ซึ่งสื่อต่างประเทศรายงานว่า ต้นทุนของสินค้าจริง ๆ แล้วแพงขึ้นแค่ประมาณ 10 เหรียญเท่านั้นเอง

ต้นทุน 10 เหรียญที่แพงขึ้นของ Nintendo Switch (OLED model) หลัก ๆ แล้วมาจากส่วนพาเนลแสดงผล OLED โดยจะอยู่ที่ประมาณ 3 – 5 เหรียญต่อหน่วย ตามคำกล่าวของ โยชิโอะ ทามูระ ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานฝ่ายปฏิบัติการคนปัจจุบันของ Display Supply Chain Consultants (DSCC) ในขณะที่ อากิระ มินามิกาวะ จาก Omdia รายงานว่า สตอเรจ 64GB ทำให้เครื่องเกมมีราคาเพิ่มขึ้นอีก 3.5 เหรียญ ที่เหลืออีก 1.5 – 3.5 เหรียญเป็นค่าใช้จ่ายในส่วนอื่น ๆ เช่น ลำโพง ขาตั้ง และพอร์ตอีเทอร์เน็ต

  • หน้าจอ : ต้นทุนเพิ่มขึ้น 3 – 5 เหรียญ
  • สตอเรจ : ต้นทุนเพิ่มขึ้น 3.5 เหรียญ
  • ส่วนประกอบอื่น ๆ : ต้นทุนเพิ่มขึ้น 1.5 – 3.5 เหรียญ

ทั้งนี้ Bloomberg ได้ติดต่อสอบถามไปยังบริษัทฯ เพื่อให้แจกแจงถึงข้อมูลเกี่ยวกับต้นทุนของผลิตภัณฑ์โดยละเอียด ซึ่งแน่นอนว่า โดนปฏิเสธไปตามระเบียบ เพราะเรื่องพวกนี้มักจะเป็นความลับทางการค้าอยู่แล้ว

นินเท็นโดจะวางจำหน่าย Nintendo Switch (OLED model) วันที่ 8 ตุลาคม 2564 พร้อมกันทั้งโซนญี่ปุ่น อเมริกา และยุโรป ราคา 349.99 เหรียญ (ประมาณ 11,290 บาท) เมื่อเทียบกับ Nintendo Switch ที่เปิดตัวด้วยราคา 299.99 เหรียญ (ประมาณ 9,690 บาท) แล้ว จะมีค่าตัวห่างกัน 50 เหรียญก่อนคำนวณภาษี (ประมาณ 1,6XX บาทขึ้นไป)

 

ที่มา : Bloomberg