เป็นอีกหนึ่งสมาร์ทวอทช์ที่มีความน่าสนใจอยู่ไม่น้อยสำหรับ Fitbit Versa 2 ที่มีการปรับปรุงใหม่ให้มีประสิทธิภาพและน่าใช้งานยิ่งขึ้นกว่าเดิม โดยออกแบบมาเพื่อคนที่หลงใหลในการออกกำลังกายโดยเฉพาะ มีระบบ Tracking ตลอด 24 ชั่วโมง ใส่ว่ายน้ำลุยได้แบบสบายๆ เพราะกันน้ำได้ลึกสุด 50 เมตร เคาะราคาอยู่ที่ 7,990 บาท ว่าแต่การใช้งานจะเป็นยังไง มีฟีเจอร์อะไรบ้าง มาดูกันเลยดีกว่าครับ

สเปค Fitbit Versa 2

  • หน้าจอ: AMOLED ระบบสัมผัส ขนาด 0.987 นิ้ว ความละเอียด 300 x 300
  • วัสดุตัวเครื่อง: อลูมิเนียม
  • การกันน้ำ: ATM 5 ได้ลึก 50 เมตร
  • เซนเซอร์: 3-axis accelerometer, optical heart rate monitor, altimeter, ambient light sensor, vibration motor, NFC, microphone, and relative SpO2 sensor
  • การเชื่อมต่อ: Bluetooth 4.0, Wi-Fi 802.11 b/g/n
  • ระบบปฏิบัติการที่รองรับ: Android, iOS
  • แบตเตอรี่: ใช้งานปกติได้ประมาณ 6 วัน
  • อุปกรณ์ในกล่อง: สายชาร์จ, สายสำรอง และ คู่มือ

แกะกล่องกันก่อน

ภายในกล่อง นอกจากจะมีตัวเครื่อง Fitbit Versa 2 แล้ว ก็จะมีคู่มือ, แทนชาร์จ และสายนาฬิกาสำรอง

ดีไซน์

ครั้งนี้ผมได้ Fitbit Versa 2 สีหวานแหววมากๆ มารีวิว นั่นก็คือสีชมพู Petal/Copper Rose สำหรับตัววัสดุบอดี้ทำมาจากอลูมิเนียม หน้าจอมาเป็นรูปแบบทรงเหลี่ยม ขนาด 0.987 นิ้ว ด้านซ้ายมีปุ่มกดไว้คอยควบคุม สั่งงานนาฬิกา อันนี้มองผ่านๆ แอบดูเหมือน Apple Watch อยู่นะเนี่ย

ด้านขวาของตัวเครื่อง จะเป็นรูไมค์ไว้สำหรับสั่งงานด้วยเสียงผ่าน Alexa ซึ่งต้องใช้ร่วมกับบัญชี Amazon ก่อนถึงจะเปิดใช้งานได้

ส่วนด้านล่างตัวเครื่องก็จะเป็นที่อยู่ของเซนเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจนั่นเอง ครอบทับด้วยกระจก มีจุดเสียบชาร์จแบต

การใช้งาน

ก่อนอื่นเลย ต้องดาวน์โหลดแอป Fitbit จาก Google Play Store หรือ App Store มาก่อนนะ ถึงจะเชื่อมต่อสมาร์ทวอทช์เข้ากับสมาร์ทโฟนได้ ซึ่งการใช้งานหรือการปรับเปลี่ยนอะไรต่างๆ จะสามารถทำบนแอปได้เลยแทบทั้งหมด

Fitbit
Fitbit
Developer: Fitbit LLC
Price: Free
‎Fitbit: Health & Fitness
‎Fitbit: Health & Fitness
Developer: Google
Price: Free+

เริ่มกันที่หน้าปัดก่อน Fitbit Versa 2 สามารถเปลี่ยนได้ตามใจชอบเลย มีให้เลือกตั้งแต่แบบคลาสสิค analog, digital หรือจะเป็นแบบแสดง stats ต่างๆ เช่น จำนวนก้าวที่เดิน, อัตราการเต้นของหัวใจ เป็นต้น บอกเลยว่าหน้าปัดมีให้เลือกใช้เยอะมากๆ ทั้งแบบฟรีแบบเสียเงิน

การควบคุมหน้าปัดนาฬิกาเบื้องต้นจะเป็นลักษณะปัดขวาเพื่อเปิดแอปต่างๆ รวมไปถึงการตั้งค่า ปัดลงเพื่อดูการแจ้งเตือน และปัดขึ้นเพื่อดูว่าสถิติต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นจำนวนก้าวที่เดิน, อัตราการเต้นของหัวใจ หรือจะเป็นคุณภาพการนอนหลับเมื่อคืน โดยปุ่มบริเวณซ้ายมือของตัวเครื่องจะทำหน้าที่เป็นปุ่ม Back ย้อนกลับนั่นเอง ถ้ากดค้างจะสามารถเรียกผู้ช่วยอัจฉริยะ Alexa หรือหน้า Fitbit Pay ขึ้นมา อันนี้แล้วแต่นะว่าเราจะตั้งค่าไว้ยังไง

เราสามารถตั้งให้เป็นนาฬิกาจับเวลาหรือนาฬิกาปลุกตอนเช้าก็ได้ ซึ่งระดับการสั่นสามารถเลือกปรับได้ทั้งหมด 2 ระดับคือ Normal และ Strong จากการใช้งาน แค่การสั่นระดับธรรมดาก็ปลุกตื่นแล้วล่ะ

Fitbit Versa 2 มาพร้อมกับหน้าจอ AMOLED แบบสัมผัส ขนาด 0.987 นิ้ว แสดงภาพแบบสีสันสวยงาม สามารถเลือกตั้งค่าความสว่างของหน้าจอได้ทั้งหมด 3 ระดับนะ คือระดับ Dim, Normal และ Max โดยระดับ Max บอกเลยว่าสู้แดดจ้าๆ ตอนกลางวันได้แบบสบายๆ หายห่วง ซึ่งถ้าเปิดแสงสว่างมากๆ อายุแบตก็จะลดลงตามลำดับ

นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ Always On Display ที่จะให้หน้าปัดนาฬิกาแสดงผลตลอดทั้งวัน อันนี้ก็แล้วแต่ความชอบส่วนบุคคลนะครับ ส่วนตัวผมมองว่ามันกินแบต เลยเลือกใช้แบบ Lift to Wake หรือยกข้อมือดูนาฬิกาแทน

Fitbit Versa 2 สามารถดาวน์โหลดแอปต่างๆ เพิ่มเติมลงเครื่องได้ โดยต้องเข้าไปโหลดในแอป Fitbit บนสมาร์ทโฟนอีกทีนะครับ ส่วนตัวโหลดมาไม่เยอะ เพราะใช้งานหลักๆ ก็แค่วัดอัตราการเต้นหัวใจกับควบคุมเพลงบน Spotify เท่านั้น

การใช้งาน Spotify สามารถทำได้เกือบเท่าๆ กับบนโทรศัพท์เลย กด Love เซฟเพลงที่ชอบได้ แต่เบื้องต้นจะสามารถเลือกฟังได้เฉพาะ Playlist ล่าสุด, Playlist ออกกำลังกาย, พวก Made for You Playlist หรือที่เซฟไว้ก่อนหน้าเท่านั้น คือจะเป็นการซิงค์ลงมือถือมาก่อนนั่นเอง

กลับมาที่ตัวแอป Fitbit หน้าจอก็จะแสดงผลว่าเราเดินไปกี่ก้าวแล้ว, เดินขึ้นบันไดกี่ชั้น, เดินไปกี่กิโล, หัวใจเต้นถี่แค่ไหน, แบตเหลือเท่าไหร่ ฯลฯ ซึ่งเราก็สามารถกดเข้าไปดูรายละเอียดยิบย่อยได้

การแจ้งเตือนถือเป็นจุดที่น่าสังเกตมากๆ ถึงแม้ว่า Fitbit Versa 2 ยังไม่เจอการดีเลย์มากนัก ทว่าเจ้าสมาร์ทวอทช์กลับไม่รองรับภาษาไทย ทำให้เวลามีการแจ้งเตือนภาษาไทยเด้งขึ้นมา ก็จะเป็นภาษาต่างด้าวตามภาพด้านล่างเลยครับ..

อย่างไรก็ดี หากใครมีเพื่อนเป็นชาวต่างชาติ หรือใช้ภาษาอังกฤษสนทนาอยู่เป็นประจำแล้วล่ะก็ สบายหายห่วงเลย เพราะนอกจากจะแสดงผลภาษาอังกฤษได้แล้ว ยังสามารถตอบกลับหรือส่งอิโมติคอนน่ารักๆ ได้ด้วย โดยหากจะตอบกลับ อันนี้จำเป็นต้องพูดตอบโต้นะ เบื้องต้นจะรองรับแค่ภาษาอังกฤษเท่านั้น พูดใส่ไมค์ที่อยู่ตรงบริเวณด้านขวามือของตัวเครื่องได้เลย ถือว่าเป็นการฝึกภาษาไปไหนตัวเนอะ ฮ่าๆ

โดยการแจ้งเตือนก็สามารถไปเลือกปรับได้ในแอป Fitbit เลย ว่าอยากให้แอปไหนหรือไม่อยากให้แอปไหนเด้งการแจ้งเตือนขึ้นมา

สำหรับเรื่องของการออกกำลังกาย Fitbit Versa 2 รองรับ 7 รูปแบบคือ Run, Bike, Swim, Treadmill, Weights, Interval Timer และ Workout ซึ่งหลังจากออกกำลังกายเสร็จ Fitbit Versa 2 ก็จะแสดงภาพรวมของการออกกำลังกายที่เราเพิ่งออกเสร็จเมื่อกี้ ว่าออกไปกี่นาที, อัตราการเต้นของหัวใจเฉลี่ยเท่าไหร่, อัตราการเต้นของหัวใจที่ขึ้นสูงที่สุด และเผาผลาญแคลอรี่ไปแค่ไหน

โดย Fitbit Versa 2 สามารถรับโทรศัพท์พร้อมกับพูดคุยโต้ตอบกับคู่สนทนาได้อีกด้วย แต่….. สมาร์ทวอทช์รุ่นนี้จะมีแค่ไมค์อย่างเดียวเท่านั้นนะ ไม่มีลำโพง ทำให้เราสามารถพูดไปหาอีกฝ่ายได้อย่างเดียว ไม่สามารถได้ยินว่าอีกฝ่ายพูดกลับมาว่าอะไร หลักๆ คือควรจะเอาไปจับคู่กับหูฟังบลูทูธ จะได้รับสายได้ครบๆ

Fitbit ถือว่าขึ้นชื่ออยู่แล้วในเรื่องเก็บค่าการนอนในแต่ละคืน ซึ่งการใช้งานก็ง่ายนิดเดียว เพียงใส่นาฬิกานอนเท่านั้นเอง ง่ายไหมล่ะ ฮ่าๆ

ตื่นนอนมา ก็แค่เช็คสถิติต่างๆ ว่าคุณภาพการนอนหลับอยู่ไหนเกณฑ์ไหน มีคะแนนบอกด้วยอีกต่างหาก

ความทนทาน

Fitbit Versa 2 มีมาตรฐานการกันน้ำ ATM 5 หรือลึก 50 เมตร ใส่อาบน้ำ ตากฝน หรือว่ายน้ำได้แบบสบายๆ หายห่วงเลย ไม่พังแน่นอน ตัวนาฬิกาสามารถใช้งานได้ในสถานที่ที่มีอุณภูมิตั้งแต่ -10 องศาเซลเซียสไปจนถึง 60 องศาเซลเซียสเลยนะ เผื่อใครมีแพลนไปเที่ยวที่ไหนที่หนาวๆ อันนี้ต้องเช็คสภาพอากาศล่วงหน้าก่อนนิดนึงนะ

แบตเตอรี่

แบตเตอรี่ของ Fitbit Versa 2 ถือว่าค่อนข้างอึดพอตัวเลยล่ะ ใช้งานทั่วไปเชื่อมต่อกับมือถือตลอดเวลา เปิดแจ้งเตือนทั้งวัน เปิดเซนเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจตลอด 24 ชั่วโมง ก็พบว่าผ่านไป 3 วัน ยังมีแบตเหลืออยู่ประมาณ 40 – 50% อยู่เลย โดยแบตเตอรี่จะใช้เป็นประเภท Lithium-polymer ใช้เวลาชาร์จจาก 0 – 100% ประมาณ 2 ชั่วโมงเศษๆ

สรุป

Fibtit Versa 2 ถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกสมาร์ทวอทช์ที่ประสิทธิภาพการใช้งานหรือในเรื่องของดีไซน์จัดว่าใช้ได้ สวยงามตามท้องเรื่องเลยล่ะ ใช้ออกกำลังกาย ใช้เพื่อตรวจสังเกตสุขภาพตัวเอง หรือจะใช้เป็นนาฬิกาเฉยๆ ก็ได้ทุกอย่าง แถมแบตเตอรี่ก็อึดมากๆ ใช้งานได้เกือบๆ สัปดาห์เลย จะขาดไปก็เรื่องของการรองรับภาษาไทยนี่แหละ ไม่รู้เมื่อไหร่จะทำซักที