ใกล้วันวางจำหน่ายในไทยอย่างเป็นทางการแล้วสำหรับ Samsung Galaxy Z Flip5 มือถือจอพับรุ่นล่าสุดที่มาพร้อมกับจอแสดงผลด้านนอกที่ใหญ่สุด ๆ ถึง 3.4 นิ้ว ใครที่ยังลังเลอยู่ว่าจะซื้อดีมั้ย วันนี้เราเลยหยิบมารีวิวให้ดูกันแบบเต็ม ๆ ว่าในรุ่นใหม่นี้จะมีอะไรน่าสนใจเป็นพิเศษรึเปล่า ก่อนที่จะวางจำหน่ายจริง 11 สิงหาคม 2566 นี้

ตัวเครื่องดีไซน์ใหม่ สไตล์ทูโทน

Samsung Galaxy Z Flip5 ได้มีการปรับดีไซน์ครั้งใหญ่ในรอบ 2 ปี จอแสดงผลด้านหน้ามีขนาดใหญ่ในดีไซน์รูปทรงโฟลเดอร์ 3.4 นิ้ว ทำให้กินพื้นที่ตัวเครื่องครึ่งบนเกือบทั้งหมด ดังนั้น ในรุ่นนี้สีของตัวเครื่องจะแบ่งเป็น 2 ฝั่ง โดยฝั่งบนจะเป็นกระจกสีดำเพื่อพรางพาเนลจอ ส่วนด้านล่างจะเป็นกระจกสีตัวเครื่อง ซึ่งเครื่องที่เราได้มารีวิวเป็นสีเขียว Mint ดูสบายตา

ในรอบนี้กระจกต่าง ๆ ของตัวเครื่องได้อัปเกรดมาใช้เป็น Gorlila Glass Victus 2 ทนรอยขีดข่วนได้ดีกว่าเดิม มาพร้อมขอบเฟรมวัสดุ Armor Aluminum กึ่งเงากึ่งด้าน ตามสีตัวเครื่อง แข็งแรงทนทาน ด้านซ้ายมาพร้อมช่องใส่ซิมการ์ดที่รองรับแค่เพียงซิมเดียว หากต้องการใช้งาน 2 ซิม ต้องใช้เป็น E-SIM ส่วนด้านซ้ายมีปุ่มเพิ่ม / ลดเสียง และปุ่ม Power ที่ฝังเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือเอาไว้

ด้านบนตัวเครื่องมีช่องไมโครโฟนตัดเสียงรบกวน ส่วนด้านล่างมีช่องไมโครโฟนสนทนา 2 ช่อง พอร์ตชาร์จ USB-C 3.2 และช่องลำโพงคู่ และเมื่อดูที่ช่องบานพับจะมีชื่อแบรนด์ Samsung สกรีนไว้อยู่เหมือนเดิม เมื่อพูดถึงบานพับแล้ว บอกเลยว่าในรุ่นนี้ไม่ธรรมดา เพราะได้มีการเปลี่ยนไปใช้บานพับแบบใหม่ที่เรียกกว่า Flex Hinge นั่นเอง

บานพับแบบ Flex Hinge ดีกว่าเดิมยังไง?

ซ้าย: Galaxy Z Flip5 / ขวา: Galaxy Z Flip4

บานพับแบบ Flex Hinge ที่ใส่มาใน Galaxy Z Flip5 เป็นเทคโนโลยีการพับจอให้เป็นรูปทรงหยดน้ำ ทำให้ตัวเครื่องประกบกันได้แนบสนิท ไร้ช่องว่าง ลดความหนาเมื่อพับจากในรุ่นเดิมได้ถึง 2 มม. เหลือเพียงแค่ 15.1 มม. เท่านั้น อีกทั้งยังคงคุณสมบัติการกันน้ำไว้ที่ IPX8 ส่วนการพับ Flex Mode ในรอบนี้ยังรองรับการพับค้างไว้ที่ 75 – 115 องศา และสามารถกางตัวเครื่องได้แบบเต็มที่ ที่ 178.5 – 181.5 องศา

จอสวยเหมือนเดิม

จอแสดงผลหลักของรุ่นนี้ใช้พาเนล Dynamic AMOLED X2 สีสันสดใส ขนาด 6.7 นิ้ว ความละเอียด Full HD+ รองรับ HDR10+ และรองรับรีเฟรชเรทแบบ Adaptive  1 – 120Hz ปรับความลื่นไหลอัตโนมัติตามการใช้งาน แถมจอในรุ่นนี้ยังสว่างกว่าเดิมมาก ๆ 1,600 nits ทำให้ใช้งานกลางแจ้งได้สะดวกยิ่งขึ้น ส่วนเรื่องรอยพับในรุ่นนี้ยังคงสังเกตได้ชัดเหมือนเดิม รูดนิ้วเลื่อนผ่านกลางจอยังสัมผัสได้ถึงร่องของตัวจอ

ซ้าย: Galaxy Z Flip5 / ขวา: Galaxy Z Flip4

จุดขายหลักของรุ่นนี้อยู่ที่จอแสดงผลด้านหน้าที่มาในขนาดใหญ่ 3.4 นิ้วที่สว่างถึง 1,750 nits ใช้งานกลางแดดได้ (แต่กระจกจะสะท้อนพอสมควร) ส่วนพาเนลเป็นแบบ Super AMOLED ความละเอียด 720 x 748 พิกเซล รองรับรีเฟรชเรทระดับมาตรฐาน 60Hz  มาพร้อมระบบ Flex Window เลื่อนใช้งานจอด้านนอกได้อย่างเต็มรูปแบบ จะใช้ถ่ายภาพเซลฟี่ด้วยกล้องหลังก็สบาย เพราะได้มุมมองภาพที่กว้างขึ้น แถมยังมาพร้อมฟีเจอร์ใหม่แบบจัดเต็มด้วย

ลองฟีเจอร์ใหม่จอนอก

ระบบ Flex Window ใช้จองานนอกได้สะดวกกว่าเดิม

Samsung Galaxy Z Flip5 ได้ยกเครื่องระบบ UI จอแสดงผลด้านหน้าใหม่หมดจด โดยใช้ชื่อ Flex Window โดยเราสามารถปัดซ้ายปัดขวา หรือจีบนิ้วเพื่อเลือกใช้ Widgets ที่มีฟีเจอร์ลัดต่าง ๆ ได้เลย แถมยังสามารถโทรออกผ่านจอด้านนอกได้ด้วย ซึ่งตัวระบบก็จะเปิดลำโพงเพื่อใช้ในการสนทนาให้ทันที  หากต้องการเข้าไปตั้งค่าเพิ่ม / ลดหน้า Widgets สามารถเข้าไปที่เมนูตั้งค่า Cover Screen ได้เลย

นอกจากจะมี Widgets เจ๋ง ๆ ให้เลือกใช้กันแล้ว ทาง Galaxy Z Flip5 ยังเพิ่มขีดความสามารถในการตกแต่งจอนอกได้มากขึ้นด้วยฟีเจอร์ Unique Flip Face ที่สามารถคัสตอมเลือกเปลี่ยนรูปแบบจอนอกได้มากมาย จะเปลี่ยนรูปแบบนาฬิกา เปลี่ยนสีธีม หรือจะให้โชว์ข้อมูลเปอร์เซ็นต์แบตเตอรี่, ใส่ภาพเล็ก ๆ ของเราไว้บนหน้าจอ หรือจะตั้งภาพพักหน้าจอเป็นไฟล์ภาพ, GIF หรือวิดีโอก็ได้

เล่นแอปบนจอ CoverScreen แบบ Native ได้แล้ว

ระบบ Flex Window ยังรองรับการเล่นแอปผ่านจอนอกได้แบบ Native ได้ด้วย โดยจะมีทั้งหมด 11 แอปที่นักพัฒนาได้มีการปรับหน้าตาให้เข้ากับการใช้งานผ่านจอขนาด 3.4 นิ้ว สามารถดู YouTube 4K HDR และ Netflix ผ่านจอด้านนอก จะดูแผนที่ผ่าน Google Maps ก็ทำได้ หรือถ้าจะพิมพ์ค้นหา หรือพิมพ์แชตตอบข้อความเร่งด่วนใน Line ก็จะมีคีย์บอร์ด QWERTY  ขึ้นมาให้ด้วย โดยแอปที่รองรับการใช้บนจอนอกจะมีดังนี้

  • YouTube
  • Netflix
  • Spotify (Widgets Player)
  • Google Maps
  • Naver Map
  • Line
  • Samsung Message
  • Google Message
  • Kakao Talk
  • WhatsApp
  • WeChat

ส่วนใครที่มีแอปที่ใช้งานเป็นประจำ แต่ทาง Samsung และนักพัฒนายังไม่ปรับ Optimized ให้เข้ากับขนาดจอ Cover Screen ก็มีวิธีปลดล็อกให้นำทุก ๆ แอปมาใช้งานบนจอ CoverScreen ได้ แต่จะต้องดาวน์โหลดแอป Good Lock พร้อมปลั๊กอิน MultiStar มาก่อนจึงจะใช้งานได้

ซึ่งจากที่ได้ลองใช้งานดูแล้ว อาจจะยังไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่ เพราะมุมมองจอที่ค่อนข้างแคบ ตัวหนังสือและไอคอนค่อนข้างเล็ก รวมถึงความละเอียดจอที่น้อย เมื่อใช้แอปหนึ่งอยู่แล้วจะกางจอมาใช้ในจอใหญ่ แอปจะไม่แสดงผลต่อจากที่เราใช้งานไว้ แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าเทียบกับรุ่นก่อนแล้วถือว่าให้ประสบการณ์การใช้งานที่ดีกว่าเดิมมาก ๆ (แอบนึกสงสัยเลยว่าแต่ก่อนเราใช้ชีวิตด้วยมือถือจอเล็ก ๆ แบบ Galaxy Y กันได้ยังไง)

การเล่นเกมต่าง ๆ ผ่านจอด้านนอกก็สามารถทำได้เช่นกัน รองรับเกมฮิตเกือบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น ROV, Genshin Impact หรือ PUBG แต่ด้วยความที่ตัวแอปไม่ได้ปรับ Optimized เมนูต่าง ๆ ให้เข้ากับจอ CoverScreen ทำให้การกดเมนูต่าง ๆ ทำได้ยากมาก ๆ ถ้าใครเป็นคนนิ้วใหญ่ ๆ อาจจะต้องเล็งกดกันหลายทีหน่อยนะ

Samsung Galaxy Z Flip5 รองรับ Dex Mode รึยัง?

เมื่อช่วงก่อนเปิดตัวหลายสื่อได้ลือกันว่า Galaxy Z Flip5 จะมาพร้อมกับฟีเจอร์ Samsung Dex ที่สามารถต่อมือถือเข้ากับจอมอนิเตอร์ หรือสมาร์ททีวี เพื่อแปลงร่างให้ใช้งานคล้ายกับคอมพิวเตอร์ได้ และจากที่เราได้ลองทดสอบเสียบมือถือเข้ากับจอคอมพิวเตอร์แล้ว พบว่า Galaxy Z Flip5 ยังไม่รองรับ Dex Mode

แต่อย่างไรก็ตาม Galaxy Z Flip5 มาพร้อมกับพอร์ต USB-C 3.2 ที่สามารถเชื่อมต่อมอนิเตอร์เพื่อ Mirror หรือส่งภาพจากมือถือขึ้นไปบนจอได้ คาดว่า Samsung อาจจะปล่อยอัปเดตให้รองรับ Dex Mode ในอนาคตก็เป็นได้

กล้องชุดเดิม แต่ Flex Camera Mode แจ่มขึ้น

กล้องหลัง

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหลัก 

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้อง Ultrawide

ในรุ่นนี้กล้องคู่ด้านหลังจะมีความละเอียดอยู่ที่ 12MP + Ultrawide 12MP เช่นเดิม ซึ่งคุณภาพของรูปถ่ายที่ออกมาก็ยังทำได้ดี เก็บรายละเอียดต่าง ๆ ได้ครบ สีสันจัดจ้าน Dynamic Range ไม่โดนปรับให้ดูโอเวอร์จนเกินไป ส่วนโหมด Portrait สามารถเบลอหลังตัดขอบออกมาได้ดูเป็นธรรมชาติ

 ก่อนเปิด / หลังเปิด Night Mode

ซ้าย: Galaxy Z Flip4 / ขวา: Galaxy Z Flip5

ส่วนโหมดภาพถ่ายกลางคืนสามารถเรียกแสงกลับมาได้ในระดับหนึ่ง Noise ในภาพเมื่อเทียบเปิด / ปิด Night Mode ถือว่าหายไปเยอะมาก ๆ แต่ดีเทลรายละเอียดต่าง ๆ อาจจะมีกลืนหายไปบ้างจากการประมวลผลของ AI แต่ถ้าเทียบกับ Galaxy Z Flip4 รุ่นก่อนแล้ว จะเห็นได้ชัดเลยว่า Z Flip5 เก็บรายละเอียดได้ดีกว่านิดหน่อย

ตัวอย่างภาพถ่ายในที่แสงน้อย

กล้องหน้า

กล้องเซลฟี่ด้านในมาในความละเอียด 10MP ซึ่งรายละเอียดต่าง ๆ อาจจะไม่สู้การเซลฟี่จากกล้องหน้าโดยตรงเท่าไหร่ เพราะเมื่อมีแสงสว่างมาก ๆ แสงอาจจะกลืนรายละเอียดของภาพไปหน่อย แต่พวกเรื่องสีผิวต่าง ๆ บอกเลยว่าทำได้สวยเหมือนเดิม มาพร้อมโหมดบิวตี้ ปรับหน้าเนียนตามสไตล์ Samsung

งานวิดีโอ

Play video

งานวิดีโอถือเป็นจุดหนึ่งที่ทำได้ค่อนข้างดีในรุ่นนี้ เหมาะสำหรับสาย Vlog ที่ต้องการงานวิดีโอคุณภาพสูง มีความนิ่งหากต้องเดินไปถ่ายไป รวมถึงต้องการตัวเครื่องที่มีขนาดเบา และพกพาง่าย ซึ่งในรุ่นนี้จะรองรับการถ่ายวิดีโอที่ความละเอียด 4K@60FPS ทั้งกล้องหน้าและกล้องหลัง มาพร้อมโหมดกันสั่น Super Steady ที่ทำงานได้ดีแม้ต้องวิ่ง โดยโหมด Super Steady จะรองรับถ่ายวิดีโอที่ความละเอียดสูงสุด 4K@30FPS

Play video

Play video

 

และด้วยความที่ Galaxy Z Flip5 มาพร้อมกับรูปแบบดีไซน์การพับที่หลากหลาย ทำให้การจับถือถ่ายวิดีโอทำได้หลายรูปแบบ จะตั้งถ่าย หรือพับเครื่องเพื่อจับในลักษณะกล้อง Video ก็ทำได้ แถมยังใช้กล้องหลังในการถ่ายวิดีโอแบบเซลฟี่ได้สะดวกขึ้นด้วย

Flex Camera Mode เก่งขึ้น

เมื่อจอนอกใหญ่ขึ้นโหมดเซลฟี่ด้วยกล้องหน้าอย่าง Flex Camera Mode ก็ต้องทำอะไรได้มากกว่าเดิม โดยในรุ่นนี้สามารถปรับการตั้งค่ากล้องถ่ายภาพแบบ Quick Setting ผ่านจอด้านนอกได้เลย โดยจะมีให้เลือกปรับทั้งหมด 4 เมนู ได้แก่ นาฬิกาจับเวลาถ่ายรูป, ปรับอัตราส่วนภาพ, เปิดโหมดภาพเคลื่อนไหว Motion Photo, เปลี่ยนโทนสีภาพระหว่างโทนธรรมชาติ กับโทนสีอุ่น และโหมดแตะจอเพื่อถ่ายภาพ

Flex Camera Mode ยังรองรับการปัดซ้าย/ขวา เพื่อเปลี่ยนโหมดการถ่ายรูปเป็นโหมด Photo, โหมด Portrait และ โหมด Video สามารถจีบนิ้วบนจอเพื่อซูมเข้า/ออก ได้เหมือนโหมดกล้องปกติ เมื่อถ่ายภาพแล้วยังสามารถกดดู Preview ภาพผ่านจอด้านหน้าได้อีกด้วย

และทีเด็ดของการอัปเดต Flex Camera Mode ในครั้งนี้ คือโหมดถ่ายวิดีโอ ที่สามารถถ่ายวิดีโอผ่านจอ Cover Screen ได้ที่ความละเอียดสูงสุดถึง 4K@60FPS แถมยังสามารถถ่ายวิดีโอในโหมดกันสั่น Super Steady ได้ที่ความละเอียดสูงสุด 4K@30FPS

แต่ตัวซอฟต์แวร์จะมีความแปลกอยู่จุดหนึ่ง เมื่อถ่ายวิดีโอในความละเอียด 4K ขึ้นไป จะรองรับแค่ในโหมดแนวตั้ง 9:16 เท่านั้น หากจะถ่ายวิดีโอ 4K แนวนอนต้องพลิกเครื่องเอง ซึ่งอัตราส่วน 16:9 จะรองรับแค่เฉพาะวิดีโอความละเอียด FHD@60FPS เท่านั้น และเมื่อเปิดโหมดกันสั่น Super Steady ก็เจอจุดสังเกตที่ว่านี้เช่นกัน ทั้งนี้ตัวเครื่องที่เราได้มารีวิวจะยังไม่ใช้ซอฟต์แวร์ที่สมบูรณ์ หากมีการวางขายอย่างเป็นทางการแล้ว อาจไม่ได้เจอจุดสังเกตนี้แล้วก็ได้

ส่วนฟีเจอร์อย่างพับครึ่งเป็น Flex Mode เพื่อตั้งถ่ายรูป หรือจับถือเป็นกล้องวิดีโอ, ใช้ Palm Gesture แบมือสั่งถ่ายรูประยะไกลไม่ต้องสัมผัส, เปิด Preview ทั้งจอนอกและจอในพร้อมกัน ก็ทำได้เหมือนเดิม และถ้ามี Galaxy Watch ใช้คู่กันจะดียิ่งขึ้น เพราะเราสามารถใช้แอป Camera Controller เพื่อดูภาพ Preview บนจอนาฬิกาได้ สามารถหมุนวงแหวนเพื่อซูมได้ กดชัตเตอร์ผ่านนาฬิกาได้ทันที อีกทั้งยังสามารถสลับโหมดไปมาระหว่างโหมดภาพ กับวิดีโอได้ด้วย

ประสิทธิภาพเป็นไง เล่นเกมแล้วร้อนมั้ย?

Samsung Galaxy Z Flip5 มาพร้อมกับชิปเซ็ตประมวลผลเรือธงตัวเลื่องชื่ออย่าง Snapdragin 8 Gen 2 for Galaxy ที่แรงสุด ๆ ประกบคู่มากับ RAM 8GB แบบ LPDDR5x โดยผลทดสอบจาก GeekBench 6 ได้คะแนน Single-Core ที่ 1970 แต้ม / Multi-Core ที่ 5,083 แต้ม สูงกว่าที่ Galaxy S23+ ทำได้เสียอีก ดังนั้น การใช้งานทั่วไปถือว่าทำได้ลื่นไหล สบาย ๆ ใช้ได้อีกยาว ๆ เลย

สเปค Samsung Galaxy Z Flip5 

  • จอด้านใน : Dynamic AMOLED 2X ขนาด 6.7 นิ้ว ความละเอียด Full HD+ รีเฟรชเรท 1 – 120Hz
  • จอด้านนอก : AMOLED ขนาด 3.4 นิ้ว, 748×720 พิกเซล รีเฟรชเรท 120Hz ครอบด้วย Gorilla Glass Victus 2
  • CPU : Snapdragon 8 Gen 2 for Galaxy
  • RAM : 8GB
  • ความจุ UFS 4.0 : 256GB / 512GB
  • กล้องหลัง 2 ตัว
    – กล้องหลัก 12MP (f/1.8) + ระบบกันสั่น OIS
    – กล้องอัลตร้าไวด์ 12MP (f/2.2)
  • กล้องเซลฟี่ : 10MP (f/2.4)
  • การเชื่อมต่อ : 5G, Wi-Fi 6e, Bluetooth 5.3, NFC, USB Type C 3.2
  • เซนเซอร์ : สแกนลายนิ้วมือ (ด้านข้าง)
  • แบตเตอรี่ : 3,700mAh ชาร์จผ่านสายสูงสุด 25W ชาร์จแบบไร้สาย 15W
  • ระบบ Android 13 ครอบด้วย One UI 5.1.1
  • มาตรฐานทนน้ำ: IPX8
  • ขนาด / น้ำหนัก : พับ 85.1 x 85.1 x 15.1 มม. / กาง 165.1 x 71.9 x 6.9 มม. น้ำหนัก 187 กรัม

แต่จากที่ได้ลองใช้งานมา ข้อสังเกตของอีกอย่างหนึ่งของรุ่นนี้อยู่ที่อุณหภูมิที่แอบขึ้นค่อนข้างไว เมื่อเปิดกล้องใช้งานอัดวิดีโอถ่ายรูปไปสักพัก ประมาณ 10 – 15 นาที ก็พบกว่าตัวเครื่องค่อนข้างอุ่นมือแล้ว ซึ่งเมื่อใช้งานกลางแจ้งก็จะอุ่นเร็วกว่าเดิม และในขณะเล่นเกมก็เจอปัญหาที่ว่านี้ด้วยเช่นกัน โดยเราได้ทดสอบการเล่นเกมไปทั้งหมด 4 เกม ดังนี้

Garena Undawn

สำหรับเกมกราฟิกสุดโหดอย่าง Garena Undawn เมื่อปรับกราฟิกระดับสูงมาก พร้อมเปิดโหมดความละเอียดสูงไว้ตลอดเวลา ในช่วงแรกที่อุณหภูมิยังไม่แตะหลัก 40 องศาฯ ตัวเกมสามารถประคองเฟรมเรทไว้ได้ที่ 55 – 50FPS แต่เมื่อเล่นไปสัก 5 – 10 นาที อุณหภูมิจะเริ่มสูงขึ้นจนแตะ 42 – 45 องศาฯ หลังจากนั้นเฟรมเรทก็จะตกลงอยู่ที่ราว ๆ 49 – 40FPS และถ้าอัดจอพร้อมกับเล่นไปด้วย ตัวเครื่องจะร้อนสูงถึง 49 องศาฯ เลยทีเดียว

Genshin Impact

เมื่อปรับโหมดกราฟิกให้สูงสุดในทุก ๆ ด้าน พร้อมปรับเฟรมเรทให้ล็อกไว้ที่ 60FPS พบว่าตัวเกมสามารถเล่นได้อย่างลื่นไหล ที่เฟรมเรท 60 – 55FPS ถึงแม้ตัวเครื่องจะเริ่มมีอุณหภูมิที่หลัก 40 – 43 องศาฯ  และเมื่อมีการอัดจอร่วมกับการเล่นไปด้วยเฟรมเรทจะตกลงไปอยู่ราว ๆ 50 – 40FPS ส่วนอุณหภูมิจะสูงขึ้นนิดหน่อยเป็น 44 – 45 องศาฯ

PUBG Mobile

จากที่ได้ลองเล่นในโหมดกราฟิกแบบ HDR พร้อมปรับระดับ Framerate ไว้ที่ Extreme (60FPS) ตัวเกมสามารถเล่นได้ลื่น ๆ ที่ 60 – 55FPS โดยอุณหภูมิตัวเครื่องจะอยู่ที่ราว ๆ 40 – 43 องศาฯ เช่นกัน แต่เมื่อมีการอัดจอเฟรมเรทจะค่อนข้างแกว่ง โดยมีบางจังหวะที่ร่วงไปถึง 45 FPS เลยก็มี ส่วนอุณหภูมิจะสูงขึ้นนิดหน่อยเป็น 44 – 45 องศาฯ

ROV

สำหรับ ROV นั้น เมื่อปรับกราฟิกระดับสูงสุดทุกอย่าง พบว่าตัวเกมสามารถเล่นได้ลื่น ๆ ที่ 60FPS ถึงแม้ว่าจะมีการอัดจอร่วมด้วย ตัวเครื่องมีอุณหภูมิแตะ 44 องศาฯ ก็ไม่ส่งใด ๆ ต่อการเล่นเกม ซึ่งก็เป็นเพราะในยุคนี้ ROV ถือเป็นเกมที่ไม่ได้กินสเปคเยอะมากเหมือนแต่ก่อนแล้ว ทำให้การเล่นโดยรวมเป็นไปได้อย่างลื่น ๆ นั่นเอง

ทั้งนี้ ปัญหาเรื่องความร้อนถือเป็นหนึ่งใน Pain Point ของมือถือฝาพับทุก ๆ รุ่น ด้วยความที่เนื้อที่ตัวเครื่องค่อนข้างจำกัด อาจจะทำให้การจัดวางระบบระบายความร้อนต่าง ๆ ทำได้ไม่ดีเท่ามือถือ Form Factor แบบปกติ ทำให้ส่งผลถึงประสิทธิภาพการเล่นเกม และหลังตัวเครื่องวางจำหน่ายจริง อาจมีการอัปเดตปรับแก้ให้ตัวเครื่องทำงานได้ดีขึ้นก็ได้

แบตเตอรี่

สำหรับแบตเตอรี่ความจุ 3,700 mAh  จากที่ได้ลองใช้งานใส่ซิม 5G เปิดโหมด Auto Brightness ไว้ เชื่อมต่อหูฟังไร้สาย Bluetooth ตลอดเวลา ส่วนการใช้งานก็ใช้เล่นโซเชียล ฟังเพลงผ่าน Spotify ดู TikTok มีใช้ปล่อย Hotspot เป็นระยะเวลาเกือบ ๆ ครึ่งชั่วโมง ระหว่างวันได้ใช้กล้องถ่ายรูป อัดวีดิโอกลางแจ้งเป็นส่วนใหญ่

ผลการทดสอบพบว่าจากระยะเวลา Standby ที่ราว ๆ 4 ชั่วโมงครึ่ง สามารถใช้งานติดต่อกันได้ที่ประมาณ 3 ชั่วโมงเท่านั้น (อิงจากระยะเวลา Screen-On) โดยแบตเตอรี่ตัวเครื่องจะเหลืออยู่ที่ 15% ดังนั้น การใช้งานลากยาวเต็ม ๆ วันอาจจะทำได้ยากสักหน่อย

ยิ่งถ้าใครเป็นสายเกมมิ่ง ชอบเล่นเกม รุ่นนี้อาจจะยังไม่ตอบโจทย์สักเท่าไหร่ เพราะระยะเวลา Screen On ตอนเล่นเกมปรับกราฟิกโหด ๆ จะอยู่ที่ 3 ชั่วโมงเช่นกัน โดยแบตเตอรี่จะเหลืออยู่ที่ 5% ซึ่งถ้าใครรู้ตัวว่าต้องใช้งานมือถือทำงานหนัก ๆ อาจจะต้องพกแบตเตอรี่สำรองไว้เติมพลังในระหว่างวันด้วย

สรุปการใช้งาน

Play video

ข้อดี

  • จอนอกขนาดใหญ่ ใช้งานสะดวกขึ้น
  • ตกแต่งจอนอกได้เยอะขึ้น
  • ตัวเครื่องพับกันได้สนิท เวลาพับแล้วตัวเครื่องบางกว่าเดิม
  • จอสว่างกว่าเดิม
  • ตั้งค่ากล้องหลังผ่านจอ Cover Screen ได้เลย ไม่ต้องกางเครื่อง
  • ถ่าย Video 4K ผ่านจอด้านนอกได้เลย
  • โหมดกันสั่น Super Steady ทำได้ดี
  • ซอฟต์แวร์ดีที่สุดในกลุ่มมือถือจอพับ

จุดสังเกต

  • กล้องความละเอียด 12MP ถือว่าค่อนข้างน้อยสำหรับมือถือในปี 2023
  • ไม่มีเลนส์ Telephoto
  • ตัวเครื่องค่อนข้างร้อน โดยเฉพาะในขณะเล่นเกม อุณหภูมิพีคสุด ๆ อยู่ที่ 49 องศาฯ (อาจมีการอัปเดตซอฟต์แวร์ปรับแก้หลังขายจริง)
  • แบตเตอรี่น้อย ถ้าใช้งานหนัก ๆ อยู่ได้ไม่เต็มวัน (อาจมีการอัปเดตซอฟต์แวร์ปรับแก้หลังขายจริง)
  • ยังไม่รองรับ Dex Mode (อาจมีการอัปเดตซอฟต์แวร์เพิ่มเข้ามาในอนาคต)
  • รอยพับยังเห็นได้ค่อนข้างชัด
  • จอนอกความละเอียดน้อย เห็นเม็ดพิกเซลชัดเจน

Samsung Galaxy Z Flip5 เหมาะกับใคร

Samsung Galaxy Z Flip5 เหมาะกับคนที่ต้องการมือถือในรูปแบบที่ไม่เหมือนใคร มาในไซส์ที่พกพาสะดวก ขนาดกะทัดรัด และยังคงฟีเจอร์มือถือแบบเรือธง เหมาะสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวัน อีกทั้งยังตอบโจทย์สาย DIY ชอบตกแต่งตัวเครื่อง เพราะในรุ่นนี้มี Acessories น่ารัก ๆ ให้เลือกเยอะ รวมถึงมีระบบหน้าตา UI ที่สามารถปรับให้ดูเป็นสไตล์ของเราได้ง่าย ๆ

แต่สำหรับใครที่เป็นสาย Hardcore เน้นประสิทธิภาพแรง ๆ ถึงแม้รุ่นนี้จะใช้ชิปเรือธงสุดแรงอย่าง Snapdragon 8 Gen 2 for Galaxy แต่ด้วยความที่รูปแบบดีไซน์ของมือถือไม่เอื้ออำนวยให้ใส่ระบบระบายความร้อนลงไป ทำให้เวลาที่ต้องการใช้งานหนัก ๆ ตัวเครื่องจะมีอุณหภูมิที่ค่อนข้างสูง และส่งผลต่อ Performance โดยรวมของตัวเครื่อง

ราคาไทย และการวางจำหน่าย Samsung Galaxy Z Flip5

รวมโปรจอง Samsung Galaxy Z Flip5 จาก AIS | Truemove H | dtac | Shopee | Lazada มีทั้งส่วนลด+ของแถมอีกเพียบ 

Samsung Galax Z Flip5 มีให้เลือกทั้งหมด 4 สี ได้แก่ สีครีม Cream, สีดำ Graphite, สีเขียวอ่อน Mint และสีชมพู Lavender และเมื่อสั่งซื้อผ่าน Samsung Online Store จะมีตัวเครื่องสีพิเศษให้เลือกอีก 4 สี ได้แก่ สีเหลือง Yellow, สีเขียวเข้ม Green, สีน้ำเงินเข้ม Blue และสีเทา Grey พร้อมเปิดให้สั่งจองอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป  โดยเปิดราคามาทั้งหมด 2 รุ่น ดังนี้

  • 8GB + 256GB ราคา 39,900 บาท
  • 8GB + 512GB ราคา 45,900 บาท

ส่วนวันวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการ คือวันที่ 11 สิงหาคม 2566 ส่วนใครที่จองไปแล้ว พร้อมกรอกโค้ด Hand Raiser ก็เตรียมตัวรับเครื่องก่อนใครตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคมนี้ได้เลย