ท่าจะหนักขึ้นเรื่อย ๆ แล้วสำหรับแอป TikTok ที่ก่อนหน้านี้โดนแฉว่าส่งข้อมูลของผู้ใช้งานกลับไปที่จีน จนทางกรรมาธิการ FCC ก็เขียนจดหมายถึงทั้ง Google และ Apple ให้ถอดแอป TikTok ออกจากสโตร์ของตัวเอง แถมล่าสุดทางวุฒิสมาชิกสหรัฐฯ ยังได้เรียกร้องให้ FTC หรือคณะกรรมาธิการการค้าแห่งสหพันธรัฐ เข้าตรวจสอบ TikTok ด้านการดำเนินการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลเพิ่มเติม

วุฒิสมาชิกสหรัฐฯได้เขียนจดหมายเรียกร้องให้ Lina Khan ประธานการค้าแห่งสหพันธรัฐ หรือ FTC (Federal Trade Commission) ดำเนินการเกี่ยวกับ TikTok โดยในจดหมายกล่าวว่า “TikTok ได้ปิดบังความจริงเกี่ยวกับเรื่องความปลอดภัยของข้อมูล การประมวลผลข้อมูล และการกำกับดูแลกิจการมาหลายครั้งแล้ว เราจึงขอแนะนำให้ FTC ดำเนินการในเรื่องนี้ทันที”

การเรียกร้องในครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางกระแสข่าวว่า TikTok ส่งข้อมูลของผู้ใช้งานชาวอเมริกันกลับไปที่จีน ซึ่ง Brendan Carr กรรมาธิการ FCC หรือ กสทช. ของสหรัฐฯ ก็ออกมาเรียกร้องให้ Google และ Apple นำแอป TikTok ออกจากสโตร์ของตัวเองภายในวันที่ 8 กรกฎาคมนี้ และบอกว่าถ้าไม่นำออกก็ให้แจ้งเหตุผลมาด้วย

กรรมาธิการ กสทช. สหรัฐฯ ขอให้ Google และ Apple แบน TikTok เนื่องจากเป็นภัยต่อความมั่นคง

แต่หลังจากนั้นไม่กี่วัน Shou Zi Chew ซีอีโอของ TikTok ก็ออกมาชี้แจงว่า เจ้าหน้าที่ในจีนสามารถเข้าถึงข้อมูลของสหรัฐฯได้จริง แต่ก็ต้องผ่านการตรวจสอบความปลอดภัยหลายขั้นตอนจากทางสหรัฐฯ ก่อน และทางรัฐบาลจีนก็ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลเหล่านั้นได้ด้วย และยังอธิบายต่อว่า TikTok กำลังจะนำข้อมูลบนเซิฟเวอร์มาเก็บบนคลาวน์ของ Oracle ซึ่งเป็นเซิร์ฟเวอร์ในสหรัฐอเมริกาเร็ว ๆ นี้

TikTok ยอมรับเจ้าหน้าที่ในจีนสามารถเข้าถึงข้อมูลของชาวอเมริกันได้จริง แต่ต้องผ่านการตรวจสอบจากสหรัฐฯก่อน

และในงานแถลงข่าวเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา Mark Warner วุฒิสมาชิกสหรัฐฯ กล่าวว่า “เป็นเวลาหลายปีแล้วที่ TikTok ยืนยันกับฝ่ายนิติบัญญัติว่าข้อมูลของผู้ใช้งานแอป TikTok และการดำเนินการทั้งหมดถูกปกป้องอย่างดีจากจีน” และยังเสริมต่อว่า “คงเป็นเรื่องน่ากังวลอย่างมากถ้าแอปที่เกี่ยวข้องกับการติดต่อสื่อสารเจ้าใหญ่จะต้องตกไปอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลเผด็จการ”

ดูเหมือนเรื่องนี้น่าจะยังไม่ได้ข้อสรุปกันง่าย ๆ ว่า TikTok จะถูกแบนอีกครั้งหรือเปล่า หลังจากที่เคยถูกแบนไปแล้วรอบหนึ่งในสมัยที่ Donald Trump เป็นประธานาธิปดี และถูกปลดแบนในสมัยของ Joe Biden นี่เอง และหากว่ามีความคืบหน้ายังไง เราจะรีบนำมาเสนอให้ทุกคนกันเรื่อย ๆ แน่นอนครับ

 

ที่มา : theverge