สภาผู้แทนราษฎรแห่งสหรัฐอเมริกา ได้สั่งให้เจ้าหน้าที่ลบแอป TikTok แอปพลิเคชันที่เป็นบริการเครือข่ายสังคมสัญชาติจีน ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงเวลาที่ผ่านมา ออกจากสมาร์ทโฟนเพื่อเป็นการแบนห้ามใช้ ย้ำ! ให้ทุกคนเลิกดาวน์โหลดแอปโซเชียลมีเดียนี้ และยังร่างกฎหมายที่จะมีผลบังคับใช้กับเจ้าหน้าที่รัฐทั้งหมดโดยกังวัลปัญหาด้านความปลอดภัยหลายประการ ตามรายงานข่าวจาก  NBC News

สาเหตุที่รัฐบาลสหรัฐฯ แบน TIKTOK

สำนักงานด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ของ CAO เชื่อว่าแอปพลิเคชั่นสัญชาติจีนอย่าง TikTok  เป็น “ความเสี่ยงสูงสำหรับผู้ใช้”  เนื่องจากไม่ผ่านมาตรฐานความปลอดภัย  และ ByteDance เองยังเป็นบริษัทแม่ของแอปฯ TikTok ที่ถูกติดตั้งอยู่บนอุปกรณ์ของรัฐบาลอเมริกัน  ทำให้มีคำสั่งรวมไปถึงฝ่ายนิติบัญญัติและพนักงาน เจ้าหน้าที่ทั้งหมดให้พวกเขาลบแอปออกจากอุปกรณ์ของตนทันที และห้ามไม่ให้ดาวน์โหลดแอปมาใช้งานในอนาคตอีกด้วย

และยังเกรงว่ารัฐบาลจีนอาจใช้แอปดังกล่าวในการสอดแนมประชาชนชาวอเมริกัน โยงไปถึงข้อหาละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัวของเด็ก จึงถูกมองว่าเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติ นั่นเองค่ะ  

การร่างกฎหมาย

ซึ่งในเดือนพฤศจิกายน Christopher Wray ผู้อำนวยการ FBI เตือนคณะกรรมการการลงทุนต่างประเทศในสหรัฐอเมริกาว่าแอพนี้สามารถใช้ “เพื่อควบคุมการรวบรวมข้อมูลของผู้ใช้หลายล้านคน  หรือควบคุมซอฟต์แวร์บนอุปกรณ์นับล้านได้”  ดังนั้นจึงร่างกฎหมายรวมอยู่ในงบประมาณของรัฐบาลมูลค่า 1.7 ล้านล้านดอลลาร์ครอบคลุมไปถึงการให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติมแก่ยูเครนในสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่จะใช้เฉพาะกับฝ่ายบริหารเท่านั้นไม่เกี่ยวข้องกับสภาคองเกรส

สรุป

การแบนในครั้งนี้ถูกมองว่าเป็นความเสี่ยงระดับสูงเนื่องจากปัญหาด้านความปลอดภัยจำนวนมาก ทำให้อาจส่งผลกระทบต่อนักการเมืองและเจ้าหน้าที่ทุกคนในสภา  เพราะฉะนั้นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและผู้ที่เกี่ยวข้องจะไม่มีสิทธิ์ใช้งานแอป TikTok และยังหวั่นว่าข้อมูลของประชาชนในประเทศอาจถูกขโมยไปได้ จึงมีการร่างกฎหมายให้แบนแค่ในสภาเท่านั้น 

แต่อย่างไรก็ตามทางโฆษกของ TikTok ไม่ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการแบนของทางสหรัฐฯ แต่อย่างใด  แต่บอกกับสำนักข่าว CNET ว่า “เราทำงานร่วมกับคณะกรรมการต่างประเทศสหรัฐฯ การลงทุนนานกว่าสองปีเพื่อแก้ไขข้อกังวลด้านความมั่นคงของชาติที่สมเหตุสมผลทั้งหมดเกี่ยวกับ TikTok ในสหรัฐอเมริกา”

เราก็ต้องมารอดูกันว่าในอนาคต TikTok  จะเจอกับอะไรอีกบ้างเพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ถูกแบน  โดยตอนนี้ทางเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจะเร่งผลักดันกฎหมายการบังคับใช้มาตรการดังกล่าวไปทั่วประเทศ ซึ่งเราก็คงต้องติดตามเหตุการณ์นี้กันต่อไปค่ะ

 

ที่มา : cnet,nbcnews