มือถือ iPhone ที่มาพร้อมระบบปฏิบัติการ iOS มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวมากมาย อย่างระบบการเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์ที่ดีเยี่ยม การอัปเดตทางด้านซอฟต์แวร์ที่รวดเร็วเป็นระบบ พร้อมยังมีการพัฒนาฟีเจอร์การใช้งานหลาย ๆ ด้านขึ้นมาอย่างดี โดยจริง ๆ แล้วมีฟีเจอร์หลายอย่างที่สร้างขึ้นมาเพื่อใช้งานรูปแบบเดียวกันกับของ Android แต่อาจมีการคิดค้นพัฒนาต่อยอดขึ้นมาจนทำให้มีความสามารถพิเศษ ที่ช่วยให้เกิดประสบการณ์การใช้งานในแง่บวก จึงอาจเป็นที่มาว่าทำไมฐานผู้ใช้มือถือไอโฟนถึงชื่นชอบและปักหลักอยู่กับค่ายผลไม้ ไม่ยอมสนใจย้ายไปใช้มือถือจากค่ายอื่น
ฟีเจอร์ที่มือถือ iPhone ใช้ได้ดีกว่า Android
- Live Text สำหรับวิดีโอ
- NameDrop
- Battery Health
- Focus filter
- Lockdown Mode
- Face ID
- Continuity Camera
- Find My
Live Text สำหรับวิดีโอ
Live Text คือระบบกดเลือกตัวหนังสือเพื่อใช้งานต่อ โดยในระบบ iOS ตั้งแต่เวอร์ชัน 16 ขึ้นไป จะทำให้ผู้ใช้สามารถเลือกตัวหนังสือที่มีในภาพและวิดีโอได้เลย โดยการเปิดเนื้อหาใน Photo แล้วกดค้างที่ตัวหนังสือที่ต้องการในภาพ สำหรับวิดีโอก็ให้กดหยุด แล้วกดค้างที่ตัวหนังสือเหมือนกัน
โดยสิ่งที่แตกต่างกับ Android คือฟีเจอร์นี้ใช้กับวิดีโอได้นี่แหละ นอกจากนี้ของ Android ยังจำเป็นต้องกดเรียก Google Lens ให้มาสแกนภาพให้ก่อนอีก ทำให้เรียกใช้งานได้ช้ากว่า เป็นความแตกต่างเล็ก ๆ ที่ส่งผลกับการใช้งานพอสมควร
NameDrop
NameDrop เป็นฟีเจอร์ใหม่ที่เพิ่มเข้ามาใน iOS 17 มีวิธีใช้งานโดยการจับด้านบนของ iPhone มาชนกัน แล้วก็จะได้แลกเปลี่ยนคอนแท็ก ข้อมูลส่วนตัวระหว่างสองเครื่องได้เลย ไม่ต้องไปกดเพิ่มชื่อ อีเมล เบอร์โทร ด้วยตัวเอง
ส่วนใน Android เคยมีฟีเจอร์คล้ายกันคือ Android Beam ที่ใช้หลังเครื่องของมือถือมาแนบกัน แต่ก็ยกเลิกฟีเจอร์ไปพัฒนาระบบ Nearby Share ที่ใช้ในการส่งข้อมูลแทน ซึ่งขั้นตอนการใช้งานก็จะซับซ้อนกว่าแค่เอามือถือสองเครื่องมาแตะกันแบบ NameDrop
Battery Health
ฟีเจอร์ Battery Health เป็นตัวแสดงข้อมูลสถานะของแบตเตอรี่ในเครื่อง ว่ามีการใช้ไปครบกี่ Cycle แล้ว และมีสุขภาพแบตเตอรี่คงเหลืออยู่กี่เปอร์เซนต์ โดยสามารถเข้าไปเช็คข้อมูลนี้ในหน้า Battery ได้ตั้งแต่เวอร์ชัน iOS 11.3 เป็นต้นไป
ส่วนในฝั่ง Android แม้จะพอมีวิธีให้ผู้ใช้ตรวจสุขภาพแบตของตัวเอง อย่างเช่นการดาวน์โหลดแอปพลิเคชันมาแสดงข้อมูล หรือใช้เครื่องมือที่มือถือแต่ละค่ายพัฒนามาให้ใช้ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้มีวิธีเข้าหาข้อมูลเหล่านี้ง่าย ๆ เหมือนแค่กดเข้าไปในหน้า Battery โดยตรงใน iOS
Focus filter
Focus filter เป็นฟีเจอร์ที่เพิ่มเติมเข้ามาสำหรับโหมด Focus ที่เปิดให้เราเลือกจำกัดแอปและการแจ้งเตือน ไม่ให้มารบกวนเราขณะที่ต้องใช้สมาธิทำกิจกรรมบางอย่างอยู่ โดยระบบ Filter นี้จะช่วยเพิ่มตัวเลือกการตั้งค่าเพิ่มเติม ว่าหากเปิดแอปนี้แล้ว จะสามารถทำอะไรได้บ้าง เช่น เลือกใช้อีเมลได้แค่บางบัญชีเท่านั้น หรือ เปิดกลุ่มแท็บใน Safari ได้บางกลุ่มเท่านั้น
ถึงแม้ตัว Filter จะมีให้ใช้ได้กับไม่กี่แอป ได้แก่ Calendar, Mail, Messages, และ Safari ซึ่งเป็นแอปพื้นฐานของระบบ แต่ก็ช่วยให้เรามีตัวเลือกในการจัดระบบมากกว่าของ Android ที่มีให้เลือกแค่แอปที่ต้องการจำกัดการเข้าถึงได้เท่านั้น
Face ID
Face ID หรือระบบสแกนใบหน้าบนมือถือ iPhone เรียกได้ว่าเป็นระบบที่มีความซับซ้อนและล้ำหน้ากว่าระบบสแกนหน้าในมือถือค่ายอื่น โดยมีความปลอดภัยสูง จนถึงขั้นใช้ยืนยันตัวตนเพื่อทำธุรกรรมทางการเงินได้
ทางฝั่ง Android ก็มีระบบสแกนใบหน้าเหมือนกัน แต่ส่วนมากจะใช้แค่การตรวจจับใบหน้าแบบ 2D ทำให้ได้มาตรฐานความปลอดภัยมากเพียงพอต่อการปลดล็อคหน้าจอมือถือเท่านั้น
แต่มีมือถือเพียงรุ่นเดียวเท่านั้นที่เพิ่งยกระดับการสแกนใบหน้าจากฝั่งแอนดรอยด์ได้ เป็นรุ่น Pixel 8 ที่ยกมาตรฐานการสแกนใบหน้าให้เป็นระดับสูงสุด ทำให้สามารถใช้เพื่อทำธุรกรรมทางการเงินได้ แต่ก็ยังมีข้อจำกัดในด้านความแม่นยำได้ไม่เทียบเท่าใน iPhone อยู่ดี
- iOS 15.4 beta อนุญาตให้ผู้ใช้งาน iPhone สแกนใบหน้า Face ID แบบไม่ต้องถอดหน้ากากอนามัย | DroidSans
- เปิดตัว Pixel 8 และ Pixel 8 Pro ชิป Tensor G3 มาตามนัด พร้อมอัปเกรดฟีเจอร์กล้องและ AI ใหม่ อัปเดต OS นาน 7 ปี | DroidSans
Continuity Camera
Continuity Camera เป็นระบบที่เปลี่ยนให้มือถือ iPhone กลายเป็นกล้อง Webcam สำหรับโน้ตบุ๊ค Mac เอามาแทนกล้องได้โดยไม่ต้องซื้ออุปกรณ์เสริมมาเพิ่มเลย สามารถใช้งานแบบเสียบต่อสาย หรือแบบไร้สายก็ทำได้ โดยระบบนี้มาพร้อมฟังก์ชันการใช้งานอื่น ๆ อีกครบครัน
ทางฝั่ง Android ก็มีวิธีให้ใช้มือถือเป็นกล้อง Webcam เหมือนกัน แต่จะอาศัยแอปพลิเคชันและโปรแกรมของ 3rd Party ในการทำงาน บางเจ้าก็ใช้ได้ฟรี บางเจ้าก็ต้องเสียเงินซื้อ เพราะไม่ได้มีการพัฒนาระบบขึ้นมาเองเหมือนฝั่ง iPhone
Lockdown Mode
Lockdown Mode เป็นระบบรักษาความปลอดภัย สำหรับคนที่รู้ตัวว่าอาจตกเป็นเป้าโจมตีทางดิจิทัล โดยจะมีการจำกัดข้อมูลตามช่องทางต่าง ๆ เพื่อลดช่องทางในการถูกโจมตี โดยส่งผลถึงระบบ ข้อความ, เบราเซอร์, FaceTime, บริการของ Apple, รูปภาพ, การเชื่อมต่ออุปกรณ์, การเชื่อมต่อไร้สาย, และ โปรไฟล์การกำหนดค่า
ทั้งนี้ระบบ Android ก็มี Lockdown Mode ให้ใช้อยู่เหมือนกัน แต่จะมีการจำกัดการปลดล็อคมือถือเท่านั้น คือเมื่อเปิดใช้งานโหมดนี้แล้ว จะทำให้มือถือปลดล็อคได้ด้วยการใส่รหัสผ่าน PIN หรือวาด Pattern เท่านั้น ไม่สามารถสแกนใบหน้า สแกนนิ้วมือ หรือปลดล็อคด้วยเสียงได้ ซึ่งแตกต่างกับระบบ Lock Down ของ iPhone
Find My
Find My เป็นระบบตามหาอุปกรณ์ของ Apple ที่ทำให้เรารู้ได้ว่ามือถือของเราตอนนี้อยู่ที่ไหน โดยมีจุดเด่นที่สามารถหาตำแหน่งได้แม้มือถือถูกปืดเครื่องและสัญญาณอินเทอร์เน็ตไปแล้ว ด้วยการอาศัยอุปกรณ์ของ Apple ที่อยู่ใกล้กันเป็นตัวค้นหา
ส่วนของมือถือ Android ตอนนี้ยังไม่มีระบบที่ใช้อุปกรณ์ใกล้เคียงในการค้นหา ทำให้เมื่อมือถือหายแล้วโดนปิดเน็ต ก็จะไม่สามารถมีช่องทางเชื่อมต่อมือถือได้เลย จะมีแค่ข้อมูลครั้งสุดท้ายก่อนปิดเน็ตเท่านั้น
- สาวทำ AirPods หาย ใช้ Find My ตามไปเจอที่บ้านพนักงานสนามบิน | DroidSans
- ระบบตามหามือถือ Android ได้แม้เครื่องถูกปิด / ไม่มีเน็ต (คล้าย Find My ของ Apple) อาจเปิดให้ใช้อีกไม่นานนี้ | DroidSans
ที่มา:
https://bgr.com/tech/pixel-8-face-unlock-might-be-just-as-good-as-the-iphones-face-id-thanks-to-ai/
https://support.apple.com/en-us/104978
https://support.apple.com/en-us/105120
https://support.apple.com/en-us/HT201472
https://support.apple.com/guide/iphone/use-live-text-iphcf0b71b0e/ios
Face ID มันดีจริง ๆ นะ สแกนนิ้วบางทีนิ้วเปื้อนนิ้วเปียกน่าเบื่อมาก แต่ก็ดีตรงสแกนได้เลย Face ID ข้อเสียคือต้องมองไปที่กล้องนี่แหละ เลยแอบรำคาญตอนขับรถ