นับเป็นครั้งแรกในรอบ 2 ปีที่ Samsung อาจพบกับสภาวะถดถอยสำหรับรายงานผลกำไรประจำไตรมาส ที่ทางบริษัทฯ จะมีการประกาศผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 4 ของปี 2018 ที่ผ่านมา โดยข้อมูลจาก Institutional Brokers’ Estimate System (IBES) เผยว่า Samsung อาจมีการประกาศผลกำไรจากการดำเนินงานที่ลดลงถึง 12% จากปีก่อน หลังยอดขาย iPhone มีปัญหา รวมถึงตลาดมือถือในจีนที่หดตัวลงทุกปี โดยจะอยู่ที่ราวๆ 11,850 ล้านเหรียญสหรัฐ และรายได้รวมจะลดลงอีก 5% เนื่องจากยอดขายผลิตภัณฑ์หน่วยความจำที่ไม่เข้าเป้าเอาเสียเลย

เจ็บตัวเหมือนกันทั้ง Apple และ Samsung

        เช่นเดียวกับ Apple ที่ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้มีการประเมินรายได้ที่คาดการณ์เอาไว้สำหรับไตรมาสที่ 4 ของปี 2018 ถูกปรับลดลงไปถึง 4,000 ล้านเหรีญญสหรัฐจากการประเมินก่อนหน้าช่วงต้นปีเดียวกัน ในเคสของ Samsung ต้องเรียกว่าเจ็บกว่าใครเขาเพราะพึ่งพากำลังซื้อจากระบบเศรษฐกิจของจีนเอาไว้มาก ซึ่งสภาพคล่องทางเศรษฐกิจของจีนในช่วงที่ผ่านมาก็ไม่สู้ดีเอาเสียนี่ แผนกสมาร์ทโฟนของ Samsung ถือว่าอาการน่าจะหนักโดยผลกำไรถูกคาดว่าจะร่วงไปถึงราวๆ 20% หากเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2017 โดยมีส่วนแบ่งการตลาดในจีนอยู่ที่ 1% เท่านั้นหากเปรียบเทียบกับ Apple ที่ยังถือส่วนแบ่งได้อยู่ที่ประมาณ 9% จะเจ็บหนักเข้าไปอีกก็เพราะว่า Samsung ดันมีลูกค้าอีกกลุ่มใหญ่เป็นผู้ผลิตสมาร์ทโฟนสัญชาติจีนทั้งหลายที่ใช้ทั้งผลิตภัณฑ์ชิปประมวลผลและหน่วยความจำ ผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้คิดได้เป็น 75% ของผลกำไรและราวๆ 38% ของรายได้รวมของ Samsung เลยทีเดียว

ความต้องการที่ชะลอตัวในจีนส่งผลโดยตรงต่อยอดขายชิปประมวลผลของ Samsung เพราะตลาดสมาร์ทโฟนทั้งหมดในประเทศนั้นสะดุดและอยู่ในช่วงถดถอยพอสมควร ซึ่งส่งผลไม่ใช่แค่เฉพาะ Apple แต่แน่นอนเลยว่า Samsung ก็เช่นกัน…

– Song Myung-sup | นักวิเคราะห์ – Hi Investment & Securities 

สงคราม(ทางการค้า)ยังไม่จบ แต่นับศพทหารได้เรื่อยๆ  😯

ยอดขายที่ลดลงของ Samsung ถูกวิเคราะห์ไว้ว่าจะส่งผลโดยตรงให้ผลกำไรจากการดำเนินงานของแผนกลดลงไปกว่า 3.7% ในไตรมาสที่ 4 ที่ผ่านมา โดยจะอยู่ที่ราวๆ 9,400 ล้านเหรียญสหรัฐ ยิ่งไปกว่านั้น ยอดขายของผลิตภัณฑ์หน่วยความจำถูกคาดการณ์เอาไว้ว่าร่วงลงไปถึง 10% ในไตรมาสเดียวกันอีกด้วย โดยปัจจัยสำคัญอย่างนึงของการชะลอตัวทางเศรษฐกิจในประเทศจีนก็คือ “สงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน” นั่นเอง อย่างเช่นกรณีที่ทางรัฐบาลสหรัฐฯได้ออกมาตรการทางภาษี เพื่อเพิ่มอัตราภาษีนำเข้าผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้จากจีน ชนิดที่ว่าถ้าตกลงกันไม่ได้เสียทีเพดานภาษีนำเข้ากลุ่มนี้อาจเพิ่มขึ้นไปอีกเป็นเท่าตัวเลยด้วย…

 

ที่มา: phoneArena