จากที่ก่อนหน้านี้ Apple ได้มีการประกาศปรับเปลี่ยนนโยบายด้านข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Controls) เอาไว้ใน iOS 14 ที่กำลังจะปล่อยให้อัปเดตกันเร็ว ๆ นี้ที่เล่นเอา Facebook อยู่ไม่สุขออกแถลงการณ์จวกไปไม่กี่วันก่อนหน้า ผลปรากฏว่าล่าสุดดูเหมือน Apple จะยอมอ่อนข้อให้โดยประกาศเลื่อนการบังคับใช้นโยบายใหม่ที่จำกัดการเข้าถึงข้อมูลการใช้งาน Apps อย่างเคร่งครัดออกไปก่อนจนปี 2021 เป็นอย่างน้อย

สำหรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลแบบใหม่ หรือ The Privacy Controls นั้น ตกเป็นประเด็นร้อนสำหรับบรรดานักพัฒนาแอปพลิเคชั่น ธุรกิจ และที่สำคัญที่สุดคือผู้ให้บริการแพลตฟอร์มโฆษณาดิจิทัลอย่าง Facebook ที่ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมานั้นถึงกับต้องออกแถลงการณ์ไม่เห็นด้วยกับนโยบายใหม่ของ Apple ที่จะรวมอยู่ในซอฟต์แวร์อัปเดต iOS 14 ประจำปลายปี 2020 นี้ซึ่งจะเป็นจำกัดการเข้าถึงข้อมูลการใช้งาน Apps บน iOS อย่างเคร่งครัดขึ้นมาก

อ่านเพิ่มเติม: พี่มาร์คลมแทบจับ… | iOS14 ปรับนโยบายความเป็นส่วนตัว จ่อทำรายได้โฆษณาของ Facebook หายฮวบ 40%

อย่างไรก็ตามล่าสุดดูเหมือน Apple จะทนแรงกดดันของบรรดานักพัฒนา ธุรกิจองค์กร และที่สำคัญคือพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจด้านการตลาดและโฆษณาดิจิทัลที่อาศัย iOS ทำมาหากินมาโดยตลอดไม่ไหว ยอมออกประกาศชุดใหม่ขอเลื่อนการบังคับใช้ Privacy Controls แบบใหม่นี้ออกไปก่อนเพื่อให้เกิดการปรับตัวรองรับการเปลี่ยนแปลงด้านนโยบายบน iOS กันให้ดียิ่งขึ้นเสียก่อนในระยะนี้

เราต้องการให้แน่ใจว่า เหล่านักพัฒนาทั้งหลายจะมีเวลามากพอเท่าที่จำเป็น เพื่อจัดการกับความเปลี่ยนด้านนโยบายนี้ให้ดีเสียก่อน ดังนั้น การบังคับใช้ Privacy Controls หรือการขออนุญาตเข้าถึงข้อมูลตามนโยบายดังกล่าวจะถูกเลื่อนออกไปเป็นภายในปีหน้า (2021) แทน – แถลงการณ์ฉบับล่าสุดของ Apple สำหรับเรื่องการบังคับใช้นโยบาย Privacy Controls

งานนี้ Apple น่าจะกดดันจนกลัวจะเสียทั้งลูกค้าและพาร์ทเนอร์รายสำคัญ ๆ ไปหากเปลี่ยนแปลงนโยบายแบบนี้อย่างกะทันหันเกินไป เพราะฟีเจอร์หลัก ๆ เลยคือ ผู้ใช้งาน iOS เวอร์ชั่นล่าสุดทุกรายจะได้สิทธิ์เด็ดขาดในการเลือกอนุญาต หรือ ไม่อนุญาตให้ Apps เก็บข้อมูลการใช้งานแบบข้ามแพลตฟอร์มได้ ตัวอย่างสำคัญคือกรณีของ Facebook ที่มีการเก็บข้อมูลการใช้งานใด ๆ ได้จากทุกแอปพลิเคชั่นที่มีการขอเชื่อมต่อกับระบบนิเวศของ Facebook ผ่านชุดตัวเลขรหัสระบุตัวตนของอุปกรณ์ iOS ที่เรียกว่า IDFA นั่นเอง (รายละเอียดเพิ่มเติม)

 

ที่มา: CNN Business