หลังจากที่แพลตฟอร์มบริการออนไลน์ต่างๆ จากต่างประเทศเริ่มเข้ามาทำตลาดในบ้านเราจนมีผู้ใช้งานเพิ่มมากขึ้น และมีมูลค่ามหาศาล ทำให้ทางที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ. แก้ไขเพิ่มเติมเกี่ยวกับการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากแพลตฟอร์มดิจิทัลตัวกลางที่ให้บริการทางจากต่างประเทศ (e-Service) เช่น ดาวน์โหลดหนัง เพลง เกม จองโรงแรม ซื้อสินค้าหรือให้บริการ โดยคาดว่าจะเก็บเงินได้เพิ่มปีละ 3,000 ล้านบาท

น.ส.รัชดา ธนาดิเรก หรือรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเห็นชอบร่าง พ.ร.บ. นี้ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ เนื่องจากปัจจุบันคนไทยมีการใช้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์จากต่างประเทศมากขึ้น จากการใช้งานผ่านแพลตฟอร์มที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลาง เช่น เว็บไซต์ แอปพลิเคชัน ไม่ว่าจะเป็นการดาวน์โหลดหนัง เพลง เกม การจองโรงแรม ส่งผลให้ผู้ประกอบการในต่างประเทศมีรายได้ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย แต่กรมสรรพากรไม่สามารถจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มได้

ดังนั้นเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมระหว่างผู้ประกอบการในไทยและต่างประเทศ จึงจำเป็นต้องมีการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มให้เหมาะสมกับรูปแบบการประกอบธุรกิจ โดยมีกำหนดกฎเกณฑ์และการจำกัดความใหม่ หลักๆ ที่เพิ่มมามีดังนี้

  • นิยามคำว่า “สินค้า” ใหม่ จะหมายถึงทรัพย์สินที่มีรูปร่างและไม่มีรูปร่างที่อาจมีราคาและถือเอาได้ ไม่ว่าจะมีไว้เพื่อขาย เพื่อใช้ หรือเพื่อการใดๆ และให้หมายรวมถึงสิ่งของทุกชนิดที่นำเข้า แต่ทั้งนี้ไม่รวมถึงทรัพย์สินที่ไม่มีรูปร่างที่ส่งมอบโดยผ่านทางเครือข่ายอินเทอร์เน็ตหรือเครือข่ายอิเล็กทรอนิกส์อื่นใด
  • “บริการอิเล็กทรอนิกส์” หมายถึง บริการที่ส่งมอบโดยผ่านทางเครือข่ายอินเทอร์เน็ต หรือเครือข่ายทางอิเล็กทรอนิกส์อื่นใด
  • “อิเล็กทรอนิกส์แพลตฟอร์ม” หมายถึง ตลาด ช่องทาง หรือกระบวนการอื่นใดที่ผู้ให้บริการหลายรายใช้ในการให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์แก่ผู้รับบริการ
  • ผู้ประกอบการต่างประเทศที่มีรายได้จากการให้บริการดังกล่าวเกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี ให้ยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม และให้มีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม
  • ห้ามไม่ให้ผู้ประกอบการจดทะเบียนที่ให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์จากต่างประเทศออกใบกำกับภาษี

(เนื้อหา พ.ร.บ. ฉบับเต็ม : http://www.rd.go.th/publish/fileadmin/download/Vatforeign_140163.pdf)

ประเทศไทยไม่ใช่ประเทศแรกที่เก็บภาษีแบบนี้

สำหรับ พ.ร.บ. ฉบับนี้ ล่าสุดได้ผ่านการตรวจพิจารณาจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา(สคก.) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขั้นต่อไปคือส่งร่างให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณา และประกาศในราชกิจจานุเบกษาในลำดับถัดไป รวมถึงกรมสรรพากรเตรียมจะจัดทำคู่มือการใช้กฎหมายฉบับนี้ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษเพื่ออธิบายให้แก่ผู้ประกอบอีกด้วย โดยประเทศไทยเองก็ไม่ใช่ประเทศแรกที่มีกฎหมายเก็บภาษีในลักษณะนี้ ซึ่งปัจจุบันก็มีประเทศออสเตรเลีย เกาหลีใต้ และอื่นๆ ที่ก็ใช้กฎหมายลักษณะนี้ ที่ประสบผลสำเร็จมาแล้ว

ส่วนตัวเห็นแบบนี้แล้วก็พอเข้าใจได้นะที่รัฐบาลต้องเก็บภาษีเพิ่ม เพื่อความเท่าเทียมและเม็ดเงินตรงนี้ก็มีมูลค่าที่สูงอยู่ ซึ่งหลายๆ ประเทศก็มีการเก็บภาษีตรงนี้เหมือนกัน และหากเข้ากระบวนการเก็บภาษีจริงๆ ราคาค่าบริการของแพลตฟอร์มดิจิทัลต่างๆ จะเพิ่มขึ้นหรือไม่ อย่างไร ยังไงก็ต้องติดตามกันต่อไปครับ

ที่มา : mgronline, rd

Facebook, Google และบริษัทเทคยักษ์ใหญ่ไม่เสียภาษี? ทำไมทำได้? ประเทศต่างๆยอม?