วางจำหน่ายยังเป็นทางการเรียบร้อยเป็นตั้งแต่เดือนก่อนแล้วกับ Mi Smart Band 4 ซึ่งทีมงานได้มีโอกาสซื้อมาทดลองรีวิวใช้งาน บอกกันตั้งแต่ตรงนี้เลยว่าประทับใจมากคุ้มค่าตัวสุดๆ ถือเป็นการพัฒนาที่ก้าวกระโดดไปอีกขั้นของ Mi Band ที่ทำให้ดูดีมีความน่าใช้มากยิ่งขึ้น
สเปคตัวเครื่อง
- น้ำหนัก : 22.1 กรัม
- ระดับการกันน้ำ : 5 ATM หรือ 50 เมตร ใส่ว่ายน้ำ
- ขนาดหน้าจอ : 0.95 นิ้ว AMOLED ความละเอียด 120 x 240 หน้าจอสัมผัส
- ความลึกของสี : 24 bit
- ความสว่างหน้าจอสูงสุด : 400 nits
- เซนเซอร์ : 3-axis accelerometer + 3-axis gyroscope; PPG heart rate sensor; Capacitive proximity sensor
- กระจกหน้าจอกระจก : 2.5D พร้อมการเคลือบป้องกันลายนิ้วมือ
- ปุ่มกด : มีปุ่มกดเดียว (ตื่นขึ้น, ย้อนกลับ)
- RAM : 512 KB
- ROM : 16 MB
- เชื่อมต่อไร้สาย : BT5.0 BLE (ไม่มี NFC)
- แบตเตอรี่ : LiPo, 135mAh
- ความต้องการของระบบ : Android 4.4, iOS 9.0 หรือมากกว่า
การใช้งาน
การใช้งานเบื้องต้นหลังจากแกะกล่อง Mi Smart Band 4 ออกมาก็ให้ทำการเชื่อมต่อกับแอพ Mi Fit ผ่านทาง Bluetooth ซึ่งรุ่นที่วางจำหน่ายในไทยจะเป็นรุ่นน้องเล็กสุดไม่มี NFC โดยเราสามารถหาดาวน์โหลดได้จาก PlayStore และ App Store โดยตัว Mi Fit เองจะให้เราตั้งค่าโปรไฟล์ส่วนตัวนิดหน่อยแล้วก็เริ่มใช้งานได้ทันที อุปกรณ์ในกล่องที่ให้มาก็จะมีสายยางสีดำ, สายชาร์จ และ คู่มือ
ในหน้าเมนูจะมีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 6 อย่างตามรูป ไล่จากซ้ายไปขวาคือ สถานะ > แจ้งเตือน > สภาพอากาศ > ออกกำลังกาย > วัดการเต้นหัวใจ > อื่นๆ ซึ่งการทำงานถือว่าค่อนข้างครอบคลุมในชีวิตประจำวัน แต่อาจจะติดตรงที่ตัวเครื่องเอง ยังไม่รองรับภาษาไทย และคาดว่าน่าจะมีเฟิร์มแวร์มาอัปเดตที่หลังอีกทีครับ
ส่วนของการออกกำลังกายตัวเครื่องรองรับ 6 คือ
- Outdoor Running วิ่งข้างนอก
- Treadmill วิ่งบนลู่
- Cycling ปั่นจักรยาน
- walking เดินออกกำลัง
- Exercise เล่นเวท
- Pool Swimming ว่ายน้ำ (สระ 25 m, 50 m)
ถัดมาดูในโปรแกรม Mi Fit กันบ้างก็จะมีข้อมูลประวัติส่วนตัวของเราดูที่สามารถดูได้หลายอย่าง ทั้งประวัติการนอน(ต้องใส่นาฬิกาตอนนอนด้วย) ที่จะทำให้เรารู้ว่าเราหลับกี่ชั่วโมงหลับลึกหลับตื้นกี่ชั่วโมง, อัตราการเต้นหัวใจ, น้ำหนักวัดได้ว่าอ้วนผอม(ซิงค์กับ Mi Body Composition Scale 2) ส่วนแถบด้านบน การเดิน, การวิ่ง, การปั่นจักรยาน จะบอกเป็นแผนที่ระยะทางที่ออกกำลังกายแบบใช้ GPS ครับ
นอกจากนี้ตัวแอพก็ยังมีฟังก์ชันอื่นๆ อีกมากมาย ดูได้จากในรูป ส่วนตัวชอบฟังก์ชัน แจ้งเตือนนั่งนาน ซึ่งถ้าเรานั่งนานโดยไม่ได้ขยับไปไหนเป็นเวลา 1 ชั่วโมง ตัวนาฬิกามันจะสั่นเตือนเราทันทีให้เราไปยืดเส้นยืดสายกันบ้าง ,เปลี่ยนรูปพื้นหลังหน้าจอได้ และที่สำคัญที่ถือเป็นไม้เด็ดของรุ่นนี้เลยคือ มีฟังก์ชันควบคุมเพลงได้จากนาฬิกา ซึ่งสามารถทำได้ทั้งหยุดเพลง, ข้ามเพลง, ถอยเพลง และเพิ่มเสียงลดเสียงก็ได้ด้วย ไม่จำเป็นต้องกดจากมือถือเลย
หน้าจอตัวเครื่องจะเป็นแบบโค้ง 2.5D กันรอยขีดข่วน ความสว่างของหน้าจอถือว่าทำได้ดีมาก ดีกว่ารุ่นอื่นๆ ก่อนหน้านี้อย่างเห็นได้ชัด เพราะได้เป็นจอสี Amoled ไปใช้งานกลางแจ้งได้สบายๆ จากรูปด้านบนคือเปรียบเทียบระหว่างเปิดหน้าจอสว่างสุดกับลดแสงต่ำสุดครับ (ปรับได้ 5 ระดับ)
แบตเตอรี่ของเจ้า Mi Smart Band 4 ก็ถือว่าทำได้ถึกมาก จากการใช้งานปัจจุบันถ้าไม่ได้ใช้ฟังก์ชันออกกำลังกายวันหนึ่งแบตเตอรี่ลดไปแค่ 2% เท่านั้น โดยส่วนตัวทีมงานเอาไปว่ายน้ำกับวิ่งบนลู่ แบตเตอรี่จะลดเป็นประมาณ 5-7% ครับ (ปรับแสงระดับ 3) และจากการใช้งานประมาณ 1 สัปดาห์จาก 100% ลดเหลือ 75% ครับ
สรุป
สำหรับ Mi Smart Band 4 จากการใช้งานตลอดหนึ่งสัปดาห์ถือว่าประทับใจมาก ทั้งในส่วนของการแสดงผลที่เป็นหน้าจอสี การใช้งานกลางแจ้งที่เห็นได้ชัด แบตเตอรี่อึดไม่ต้องชาร์จบ่อยๆ รวมถึงสามารถใส่ว่ายน้ำได้ด้วย ซึ่งก่อนหน้านี้ทีมงานได้ใช้ Mi Band 2 มากว่า 2 ปี จอนี่เอาไปใช้งานกลางแจ้งแทบมองไม่เห็น ปุ่มก็มีปุ่มเดียว จอไม่สัมผัส เวลาใช้งานออกกำลังกายก็ต้องใช้ผ่านแอพเท่านั้น ซึ่งพอหลังจากเปลี่ยนมาใช้ Mi Smart Band 4 พูดเลยว่าเอา Mi Band 2 เก็บใส่กล่องปลดระวางเรียบร้อยเลยครับ
โดยรวมแล้วเจ้า Mi Smart Band 4 กับราคาศูนย์ที่วางจำหน่ายในราคา 1,290 บาท (ซื้อออนไลน์บางที่ขายกันไม่ถึงพัน) ก็ถือว่าคุ้มค่ามาก แต่จากการใช้งานในตอนนี้ติดนิดเดียวคือตัวเครื่องยังไม่รองรับภาษาไทย ซึ่งคาดว่าทาง Xiaomi เองคงจะมีเฟิร์มแวร์ให้อัปเดตกันในอนาคตครับ
ข้อดี
- หน้าจอ Amoled จอสี สีสันสวยงามดูดีกว่ารุ่นเดิมมาก
- แบตเตอรี่ถึกโคตรๆ ใช้งานแบบปกติได้เกิน 20 วัน
- กันน้ำ 5 ATM ใส่ว่ายน้ำได้
- มีฟังก์ชันการควบคุมเพลง
- การเชื่อมต่อเป็น Bluetooth 5.0
- สามารถใช้สายร่วมกับรุ่น Mi Band 3 ได้
ข้อพิจารณา
- ตัวเครื่องยังไม่รองรับภาษาไทย (คาดว่ามีอัปเดตให้ในอนาคต)
- รุ่นที่วางจำหน่ายในไทยเป็นรุ่นมาตรฐาน (ไม่มี NFC และระบบสั่งงานด้วยเสียง)
สำหรับใครถ้าไม่เคยใช้งาน Smart Band หรือ Smart Watch มาก่อน อยากจะเริ่มต้นซื้อมาลองใช้งานดูบ้าง รุ่นนี้ถือว่าเป็นตัวเริ่มต้นที่ดีเลยทีเดียวกับราคาแค่พันนิดๆ เพราะฟังก์ชันที่มีก็ครอบคลุม การใช้งานก็สามารถทำได้ง่าย เรียนรู้ได้เร็ว ไม่มีความซับซ้อนมากมายนัก เหมาะกับทุกเพศทุกวัย ส่วนคู่แข่งของ Mi Smart Band 4 เองก็น่าจะเป็น Honor Band 4 ที่ราคาใกล้ๆ กัน (ตอนนี้เปิดตัว Honor Band 5 แล้ว) ส่วนฝั่งของ Huawei และ Samsung Galaxy Fit ราคาจะสูงขึ้นไปอีกนิด
มีคู่แข่งคือ honor band 5
ใช่ครับ สำหรับการวัดการนอน honor/huawei วัดได้ละเอียดแม่นยำกว่า Mi ครับ
ปล.ผมมี4รุ่น Honor band 4 / Huawei band 3 pro / Mi band 3 / Mi band 4
เวลาใส่ ตอนจอดับ พลิกข้อมือขึ้นมา มีดีเลย์กว่าหน้าจอจะติด รู้สึกช้า
ในชั่วโมงเร่งรีบ จะกวาดสายตาไปดูเวลามันลำบาก บางทีต้องเอามือไปกด
ซื้อมาเลยไม่ค่อยได้ใช้ รู้สึกไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่
เดี๋ยวอัพเดตก็ดีขึ้นเหมือนตอนรุ่น3
ไม่ต้องใส่ก็วัดฮาร์ทเรทได้ด้วยนะ
พึ่วใช้ใหม่รบกวนสอบถามค่ะ
1.ตัววัดข้อมูลการนอนแค่ใส่ก็สามารถวัดได้เลยหรือต้องเปิดตั้งค่าเพิ่มเติมไหมคะ
2.การเข้าไปในหน้าหน้าแจ้งเตือนแบรนด์ คือกดที่เครื่องหมายบวกที่หน้าแรก แล้วเลือกbandใช่ไหมคะ คือครั้งแรกที่pairสามารถเข้าหน้านี้ได้ แต่พอกลับมาหน้าปกติไม่สามารถเข้าได้เพราะหากันไม่เจอค่ะ