หลังจากที่เลื่อนกำหนดวางจำหน่ายออกไปตั้งแต่ตอนเปิดตัวเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา…ในที่สุด Samsung Galaxy Fold ก็ได้ฤกษ์วางจำหน่ายกันซักที โดยในบ้านเราก็เริ่มเปิดจองกันไปเรียบร้อยแล้วด้วย ในราคา 69,990 บาท ซึ่งถือว่าเป็นสมาร์ทโฟนที่มีราคาสูงเกินกว่าที่เราๆ จะซื้อมาใช้กัน แต่ถ้าใครอยากรู้ว่ามือถือราคาเกินครึ่งแสนรุ่นนี้มีอะไรดีสมราคาแค่ไหน วันนี้เราก็ขอมารีวิวให้ดูกันไปเลย เผื่อใครจะสนใจอยากเป็นเจ้าของซักเครื่องก็ได้นะเออ…

ก่อนอื่นมาดูที่สเปคกันก่อนนะครับว่า Galaxy Fold จะใส่อะไรมาให้บ้าง…ซึ่งแน่นอนว่าราคาค่าตัวขนาดนี้สเปคมันต้องอยู่ในระดับไฮเอนด์แน่นอนล่ะ

สเปค SAMSUNG GALAXY FOLD

  • หน้าจอด้านนอก : Super AMOLED สำหรับใช้งานตอนพับเครื่อง ขนาด 4.6 นิ้ว ความละเอียด HD+ (399ppi) อัตราส่วน 21:9
  • หน้าจอหลักแบบ : Dynamic AMOLED เมื่อกางแล้วจะมีขนาด 7.3 นิ้ว ความละเอียด QXGA+ อัตราส่วน 4.2:3 รองรับการแสดงผล HDR10+
  • CPU : Snapdragon 855
  • GPU : Adreno 640
  • RAM : 12GB (LPDDR4X)
  • ความจุ : 512GB (UFS 3.0)
  • กล้องหลัง 3 ตัว : ความละเอียด 16MP เลนส์ Ultra-wide (f/2.2, มุมมอง 123 องศา) + เลนส์ Wide-angle ความละเอียด 12MP (Super Speed Dual Pixel AF, OIS, f/1.5 – f/2.4, มุมมอง 77 องศา) + เลนส์ซูม 12MP (PDAF, f/2.4, OIS, มุมมอง 45 องศา), ระบบกันสั่น Dual OIS, ซูมออพติคอล 2x, ซูมดิจิตอล 10x, ระบบ Tracking AF, บันทึกวิดีโอ HDR10+
  • กล้องหน้าสำหรับใช้งานตอนพับเครื่อง : ความละเอียด 10MP (f/2.2) มุมมองกว้าง 80 องศา
  • กล้องหน้าคู่สำหรับใช้ตอนกางจอ : ความละเอียด 10MP (f/2.2, มุมมอง 80 องศา) + กล้องจับความลึก 8MP (f/1.9, มุมมอง 85 องศา)
  • ระบบปลดล็อคเครื่องด้วยลายนิ้วมือ, ระบบปลดล็อคด้วยใบหน้า
  • รองรับ 1 Nano SIM และ 1 eSIM
  • เซ็นเซอร์ : Capacitive Fingerprint sensor (ด้านข้าง), Accelerometer, Barometer, Gyro sensor, Geomagnetic sensor, Hall sensor, Proximity sensor, RGB Light sensor
  • การเชื่อมต่อ : 802.11 a/b/g/n/ac/ax, dual-band, VHT 80 MU-MIMI, 1024QAM, Wi-Fi Direct, BT 5.0
  • แบตเตอรี่ : 4380 mAh แบบ Dual battery รองรับระบบชาร์จไว Fast Charging ทั้งแบบมีสายและไร้สาย, ระบบชาร์จไฟให้อุปกรณ์อื่น Wireless PowerShare
  • น้ำหนัก 263 กรัม
  • ระบบ Android 9 ครอบด้วย One UI

แกะกล่อง

ในกล่องของ Galaxy Fold ก็จะมีตัวเครื่อง, หูฟังไร้สาย Galaxy Buds, สายชาร์จ, ที่ชาร์จ, อแดปเตอร์ OTG, เคสแบบ 2 ชิ้น ลายเคฟลาร์ และคู่มือ ซึ่งกล่องจากสิงคโปร์ที่เราได้แกะไปก่อนหน้านี้ก็จะเห็นว่าอุปกรณ์ภายในเป็นสีดำทั้งหมด เพราะเราเลือกซื้อสี Cosmic Black มา

แต่กล่องที่ไทยนั้นมีความอลังการกว่ากันเยอะ เพราะมาพร้อมกับ Boxset แถมสลักชื่อด้านบนมาให้ด้วย (อันนี้ซื้อกับช็อปของ Samsung นะครับ) โดยรอบนี้ตัดสินใจสั่งเอา Space Silver ที่เป็นสีเงินมาแทน

เอกสารภายในกล่องเป็นภาษาไทยมาแล้วเรียบร้อย ส่วนของแถมข้างในอย่าง Galaxy Buds, สายชาร์จ, หม้อแปลงก็เป็นสีขาวแทน ตามสี Space Silver ที่เราเลือกมา

ฝาหลังจะเป็นสีเงินเงาสวยงาม มีความเหลือบ ซึ่งสีที่สะท้อนนั้นอาจจะยังไม่เป็นสีรุ้งแบบของ Note 10 คือออกคล้ายๆ Prism White ของ S10 มากกว่า แต่เปลี่ยนจากขาวเป็นเงินแทนอะไรทำนองนั้น

ขอบด้านข้างหรือตัวเฟรมนั้นก็เปลี่ยนเป็นสีเงินด้วย เช่นเดียวกับสันของฝาพับ

ดีไซน์ตัวเครื่อง

Galaxy Fold ใช้วัสดุประกอบเครื่องเป็นโลหะและมีด้านหน้าเครื่องกับด้านหลังเครื่องที่เป็นกระจกนิรภัยแบบ Gorilla Glass 6

Galaxy Fold สามารถใช้งานได้ 2 แบบ คือพับจอใหญ่เอาไว้แล้วใช้จอเล็กด้านหน้าแทน ซึ่งเวลาที่พับจอ ตัวเครื่องก็จะหนาประมาณมือถือ 2 เครื่องวางซ้อนกัน แต่จะมีความกว้างราวๆ มือถือเครื่องเล็กๆ เครื่องนึง ทำให้จับถนัดมือดี

ตรงสันเครื่องเป็นสีเมทัลลิคมันวาวดูหรูหรา และมีโลโก้ Samsung อยู่ด้านบน

พอกางตัวเครื่องออก จอก็จะขยายมาอีกเท่านึง

ตอนกางจอ สันเครื่องจะถูกซ่อนเอาไว้

ขอบเครื่องด้านขวารวมเอาไว้หมดเลยทั้ง ปุ่มปรับเสียง, ปุ่ม Power และเซ็นเซอร์สแกนนิ้วมือ แต่การสแกนนิ้วมือตอนแรกนั้น ต้องกดปุ่ม Power เพื่อเปิดหน้าจอก่อน แล้วถึงจะสแกนนิ้วได้ แต่ก็สามารถไปตั้งค่าให้สแกนนิ้วแล้วจอติดเลยได้เช่นกัน

เซ็นเซอร์สแกนนิ้วมือ

หน้าจอพับได้

Galaxy Fold เป็นมือถือจอพับที่มีทั้งหมด 2 จอ คือจอด้านหน้าสำหรับใช้ตอนที่พับเครื่องเอาไว้ มีขนาด 4.6 นิ้ว เป็นหน้าจอแบบ Super AMOLED ความละเอียด HD+ และครอบด้วยกระจก Gorilla Glass 6 ทำให้มันทนทานต่อการขีดข่วนได้พอสมควร

แต่สำหรับหน้าจอใหญ่ 7.3 นิ้ว ซึ่งเป็นจอแบบ Dynamic AMOLED มีความยืดหยุ่นสูงทำให้มันสามารถพับได้ แต่ก็กลายเป็นจุดอ่อนที่ทำให้มันไม่แข็งแรงทนทานต่อการขีดข่วนเลย เพราะจากที่ดูคลิปทดสอบของ JerryRigEveryThing จอด้านในแค่โดนเล็บขูดก็เป็นรอยลึกแล้ว ทำให้ต้องใช้ความระมัดระวังสูงมากเวลาจะใช้งานจอใหญ่ (เราไม่ได้ทดสอบให้ดูนะจ๊ะ 555)

UI หน้าจอนอกและใน

UI ของ Galaxy Fold ก็เป็น One UI ปกติเหมือนกับที่ใช้กับมือถือ Samsung ทั่วไป แต่จะแตกต่างกันนิดหน่อยเวลาใช้งานหน้าจอด้านนอกกับด้านใน โดยหน้าจอด้านนอกมีอัตราส่วนเหมือนมือถือปกติที่ 21:9

แต่สำหรับ UI เวลาใช้งานจอด้านในอัตราส่วนจะกลายเป็น 4.2:3 และหน้าจอด้านขวาบนจะแหว่งไปเพราะเป็น Notch เอาไว้วางกล้องเซลฟี่ ส่วน Navigation Bar ด้านล่างจะเยื้องไปทางขวา ไม่ได้อยู่ตรงกลางเหมือนมือถือปกติ

นอกจากนี้ยังสามารถปัดแถบจอด้านล่างขึ้นมาเพื่อเรียกใช้ Samsung Pay ได้เหมือนมือถือ Galaxy รุ่นอื่นๆ

คีย์บอร์ด Samsung ที่ติดมากับเครื่อง ตอนใช้หน้าจอใหญ่มีการปรับแต่งเล็กน้อย โดยเว้นช่องว่างตรงกลางเอาไว้ (เอาจริงๆ ไม่รู้จะเว้นไว้ทำไม เพราะรู้สึกพิมพ์แล้วมันไม่ต่อเนื่อง) แต่ถ้าใช้คีย์บอร์ดอื่น จะเป็นคีย์บอร์ดเต็มๆ ปกติ

คีย์บอร์ดของ Samsung ที่ติดตั้งมาให้เลย

คีย์บอร์ดที่เอามาติดตั้งเอง

ใช้งาน 3 แอป พร้อมกันในจอเดียว

Galaxy Fold สามารถแบ่งการใช้งานหน้าจอออกเป็น 3 ส่วนได้ (เมื่อกางจอ) ด้วยการปัดขอบหน้าจอทางขวาเข้ามาด้านใน ก็จะมีแถบสำหรับเปิดแอป โดยการเปิดแอปแรกจะขึ้นไปอยู่ตรงมุมขวาบนจอ ถ้าปัดขอบเพื่อเปิดแอปอีกทีนึง มันก็จะมาเปิดอยู่ตรงมุมขวาล่าง ทีนี้ก็จะเหลือหน้าจอด้านซ้ายเต็มๆ เอาไว้ให้เปิดใช้งานได้อีก 1 แอป ซึ่งเราสามารถยืดหรือหดหน้าต่างแอปเหล่านั้นได้ตามต้องการ

เปิด YouTube, Chrome และ Facebook ในหน้าจอเดียวกัน

ประสิทธิภาพเครื่องและการเล่นเกม

สเปคของ Galaxy Fold จัดมาให้เต็มเหนี่ยวทั้ง Snapdragon 855, RAM 12GB และความจุแบบ UFS 3.0 เพราะฉะนั้นหายห่วงได้เลยทั้งการใช้งานทั่วไป และการเล่นเกมกราฟฟิคหนักๆ จากการทดสอบด้วย AnTuTu ก็ได้คะแนนออกมาตามนี้

ความจุ UFS 3.0 ที่สามารถอ่าน – เขียนข้อมูลได้เร็วปรู๊ดปร๊าดสุดๆ ทดสอบด้วย Androbench ออกมาได้ประมาณนี้

ทดสอบเล่นเกมสุดฮิตอย่าง ROV ก็ไม่ต้องสงสัย เพราะปรับกราฟฟิคได้สุดทุกอย่าง เวลาบวกกันเฟรมเรทก็อยู่ที่ราวๆ 58 – 60fps แต่เวลาเล่นอาจจะเสียเปรียบคนอื่นอยู่บ้าง เพราะสัดส่วนหน้าจอแบบ 4.2:3 ทำให้ไม่สามารถมองพื้นที่รอบๆ ได้ไกลเหมือนกับหน้าจอมือถือแบบ Wide screen ทั่วไป

ROV บนจอ Galaxy Fold

ROV บนจอ Galaxy Note 8

PUBG ก็ไม่มีปัญหา ปรับได้สุดทุกอย่าง เล่นได้ลื่นปรื๊ดๆ เหมือนกัน

ปรับกราฟฟิคสุดได้ทุกอย่าง ก็ยังเล่นได้ลื่นๆ

เกมใหม่อย่าง Call of Duty Mobile ก็สบายๆ ปรับเป็น Very High ได้หมด

กล้อง

กล้องหลักของ Galaxy Fold มีทั้งหมด 3 ตัว ประกอบด้วยกล้อง Ultra Wide 16MP + กล้อง Wide-angle 12MP + กล้องซูม 2x 12MP มีทั้งระบบกันสั่น Dual OIS, ระบบ Tracking AF และยังบันทึกวิดีโอได้ที่ระดับ HDR10+ อีกด้วย เรื่องคุณภาพก็หายห่วงเพราะเป็นกล้องชุดเดียวกับ Galaxy S10 นั่นเอง

โดยกล้องหลังนี้เราสามารถใช้งานได้ทั้งตอนพับจอและกางจอ แต่แนะนำว่าตอนถ่ายพับจอเอาไว้จะจับถนัดมือและมั่นคงกว่า (กางจอถ่ายแล้วมันเสียวๆ จะหลุดมือยังไงไม่รู้)

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหลังของ Galaxy Fold

โหมดหน้าชัดหลังเบลอที่มีลูกเล่นให้ปรับหลากหลาย

กล้องหน้าของ Galaxy Fold มีมาให้ถึง 3 ตัว แบ่งเป็นกล้อง 1 ตัว ความละเอียด 10MP สำหรับใช้ตอนพับเครื่อง ส่วนตอนกางเครื่องจะถ่ายเซลฟี่แบบหน้าชัดหลังเบลอได้ดีกว่าเพราะมีกล้องหน้า 2 ตัว ความละเอียด 10MP + กล้องจับความลึก 2MP (แต่ก็ต้องแลกมาด้วยการถือเครื่องด้วย 2 มือ)

ลำโพงสเตอรีโอ

Galaxy Fold มีลำโพงมา 2 ตัว อยู่ที่ขอบเครื่องด้านบน-ล่าง ฝั่งที่เป็นหน้าจอเล็ก ซึ่งเสียงที่ออกมาก็จัดว่าดังใช้ได้ และเสียงไม่แตกเมื่อเปิดสุด แต่เสียงจะออกแห้งๆ ไม่ทุ้ม ไม่แน่น ไม่กังวาลเท่าไหร่นัก

ตำแหน่งลำโพงทั้ง 2 ข้าง

นอกจากนี้ตำแหน่งลำโพงยังอยู่ในบริเวณที่อุ้งมือจะไปบังได้ง่ายๆ ซะด้วย เวลาใช้งานในแนวนอน ทำให้ต้องคอยพลิกเครื่องกลับมาอีกด้านนึง

GPS

ทดสอบใช้ GPS นำทางบนรถยนต์ ก็พบว่าแม่นยำดีมาก คลาดเคลื่อนแค่ราวๆ 1 – 2 เมตร เท่านั้น แถมวิ่งใต้สะพานหรือทางด่วนก็ยังไม่เคยเจออาการเอ๋ออะไร

แบตเตอรี่

แบตเตอรี่ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดี ถ้าใช้งานทั่วไป, เล่นเน็ต, ดูคลิป YouTube, เล่นเกม, โซเชียล, ถ่ายรูปนิดๆ หน่อยๆ น่าจะใช้งานได้ 2 วัน (ใช้งานจอเล็กสลับจอใหญ่) แต่ถ้าใช้งานหนักขึ้นมาหน่อย เปิดหน้าจอใหญ่ใช้บ่อยๆ Screen-on Time ซักราวๆ 4 – 5 ชั่วโมง ใช้งานตั้งแต่ราวๆ 9 โมงจนถึงทุ่มหน่อยๆ แบตเตอรี่จะเหลือที่ราว 32% ใช้งานได้เต็มวันสบายๆ แต่ถ้าให้ลากไปอีกวัน อาจต้องชาร์จแบตก่อนหมดวัน

ระบบชาร์จไร้สายให้อุปกรณ์อื่น

Galaxy Fold ยังมีระบบ Wireless PowerShare ที่สามารถชาร์จไฟแบบไร้สายให้กับอุปกรณ์อื่นที่รองรับได้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ทวอทช์, หูฟัง หรือมือถือด้วยกันเองก็ยังได้ (แต่ไม่แนะนำให้ชาร์จมือถือ เพราะช้ามากๆ)

สรุปผลการใช้งาน Galaxy Fold

ข้อดี

  • หน้าจอพับได้ล้ำสุดๆ
  • พกพาง่าย
  • จอพับด้านในคมชัดสวยงาม และใช้ประโยชน์ได้จริงเวลาต้องการดูอะไรบนจอใหญ่ๆ
  • กล้องชุดเดียวกับ Galaxy S10+ ถ่ายได้สวยงามทั้งกล้องหน้ากล้องหลัง
  • สเปคแรงหายห่วง
  • ระบบแบ่งจอใช้งาน 3 แอป พร้อมกัน ใช้ประโยชน์ได้จริง
  • แบตเตอรี่ใช้ได้ 1 วัน เหลือๆ

ข้อติ

  • ตัวเครื่องค่อนข้างหนัก
  • พับแล้วเครื่องหนา
  • จอพับด้านในไม่ทนรอยขีดข่วน และติดฟิล์มไม่ได้
  • รอยพับกลางจอ ถ้าโดนแสงสะท้อนจะเห็นได้ชัด
  • ลำโพงคู่สเตอริโอ แต่เสียงยังไม่ทรงพลัง
  • หน้าจออัตราส่วน 4.2:3 ทำให้เสียเปรียบเวลาเล่นเกมบางเกม เพราะแสดงผลไม่กว้างเท่ามือถือรุ่นอื่น
  • เวลาดูคลิปจาก YouTube หรือดูหนังจากแอปอื่นๆ เหลือขอบดำบน-ล่างเยอะ พอถ่างนิ้วขยายเป็น 4:3 เต็มๆ ภาพด้านข้างก็หายไป
  • ราคาแพง

Play video

Galaxy Fold นับว่าเป็นมือถือที่เรียกว่าล้ำยุคจริงๆ กับเทคโนโลยีพับจอที่ทำให้เราสามารถพกพามือถือจอใหญ่ประมาณแทบเล็ตไปไหนมาไหนได้ในกระเป๋ากางเกง แต่ในการใช้งานจริงเทคโนโลยีดังกล่าวอาจจะยังไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่ ด้วยความที่หน้าจอด้านในนั้นเป็นโพลีเมอร์ ไม่ทนรอยขีดข่วนเหมือนกระจก (เพราะถ้าเป็นกระจกมันก็จะพับไม่ได้) ทำให้ต้องทะนุถนอมกันสุดๆ ส่วนขนาดที่ถึงแม้ว่าจะพกพาง่าย แต่น้ำหนักตัวถึง 263 กรัม ก็ถือว่าไม่เบาเลย ใส่กระเป๋ากางเกงแล้ววิ่งนี่มีแกว่งตีขา และถ่วงจนรู้สึกได้

การใช้งานจอนอกขนาด 4.7 นิ้ว ในสมัยนี้เรียกได้ว่าแทบจะเล็กเกินไปแล้ว ถ้าใช้แค่เช็ค FB หรือเข้าเว็บอื่นๆ อาจจะพอใช้ได้ แต่ถ้าต้องพิมพ์ข้อความด้วย คีย์บอร์ดจะปุ่มเล็กมากๆ บางคนอาจจะพิมพ์ไม่ถนัด ส่วนหน้าจอด้านในก็สวยงามคมชัดตามมาตรฐานมือถือเรือธงของ Samsung แต่อย่างที่บอกไปแล้วว่าอัตราส่วนหน้าจอ 4.2:3 ทำให้การใช้งานด้านดูหนังหรือเล่นเกม อัตราส่วนหน้าจอนั้นอาจจะไม่รับกับคอนเทนต์มือถือในปัจจุบันที่เป็น 16:9 – 21:9 สักเท่าไหร่ ก็ต้องมีการซูมหรือแบ่งหน้าจอไปตามสัดส่วน

สำหรับราคาไทยที่เปิดมา 69,900 บาท สำหรับคนทั่วไปคงต้องบอกเลยว่าแพงเกินเอื้อมไปหน่อย แต่สำหรับคนที่มีกำลังซื้อเหลือเฟือ ก็อาจจะถูกใจกับนวัตกรรมล้ำๆ หยิบขึ้นมาเปิดจอใช้งานก็ดูว้าว ดูพรีเมี่ยม ดูเท่ไม่เหมือนใคร และใช้ประโยชน์ได้จริงในบางสถานการณ์ บวกกับสเปคแรงๆ และกล้องงามๆ ก็พอจะคุ้มราคาค่าตัวของมันอยู่ครับ