ด้วยความที่รถยนต์มักจะถูกมองเป็นทรัพย์สินฟุ่มเฟือยเพราะเสื่อมมูลค่าตามกาลเวลา ผู้คนทั่วโลกต่างจะพากันมองข้ามไปก่อนเสมอหากอยู่ในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจ แต่ครั้งนี้กลับมีผู้เล่นหน้าใหม่เกิดขึ้นมาไม่นานในโลกยานยนต์อย่าง Tesla ที่เป็นอาศัยความเป็น Tech เล่นสวนกระแสก้าวขึ้นสู่หนึ่งในแบรนด์รถยนต์ที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลกเทียบชั้น Volkswagen และ Toyota ในวันที่ยอดขายทั้งโลกกำลังแย่ร่วงเฉลี่ยถึง 30% Tesla กลับมีมูลค่าบริษัท (Market Cap) สูงขึ้นกว่า 160% ได้ในปีเดียว
วิกฤติเศรษฐกิจมาทีไร ธุรกิจยานยนต์ไปก่อนเพื่อนทุกทีเพราะถูกมองเป็นของฟุ่มเฟือย
ในสถานการณ์โรคระบาด Covid-19 ทั่วโลกนั้น ก็ดูไม่มีทีท่าจะดีขึ้นเสียเท่าไหร่ เล่นเอาระบบเศรษฐกิจทั่วโลกนั้นเสียหายอย่างมหาศาล ชนิดที่หลายฝ่ายมองล่วงหน้าไปแล้วว่าอาจถึงขั้นย่ำแย่ไม่แพ้ช่วงสงครามโลกกันแล้ว ซึ่งหนึ่งในอุตสาหกรรมที่มักจะเจ็บช้ำที่สุดทุกครั้งที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจก็คือ “อุตสาหกรรมยานยนต์” เพราะถูกมองเป็นทรัพย์สินฟุ่มเฟือยชนิดข้ามได้ข้ามสำหรับช่วงเวลาที่เงินทองนั้นหายากขึ้นแบบนี้
เหตุการณ์ใหญ่ ๆ ไล่ตั้งแต่วิกฤตต้มยำกุ้งช่วงปี 40 ในไทยที่เล่นเอาแบรนด์รถยนต์นานาชาติช่วงนั้นล้มหายตายจากกันไป แบรนด์ไทยที่พยายามปลุกปั้นกันมานานก็ต้องเลิกล้ม หรือแม้แต่เศรษฐกิจที่เคลมว่าแข็งแรงอย่างสหรัฐ ฯ เองก็ไม่รอดสำหรับช่วงวิกฤติการณ์อสังหาริมทรัพย์ซับไพรม์ช่วงปี 52 ที่เล่นเอาแบรนด์รถยนต์ทั่วโลกต้องพากันควบรวมกิจการเพื่อความอยู่ หรือไม่ก็ถึงขั้นเฉียดล้มละลายอย่าง General Motors เจ้าของเดียวกับ Chevrolet บ้านเราที่ก็ชิงหนีประเทศไทยไปแล้วอย่างเป็นทางการเมื่อต้นปีนี้เองก็เช่นกัน 😆
แน่นอนว่าวิกฤติครั้งนี้ก็ไม่อาจเข้าข้อยกเว้น ธุรกิจยานยนต์ต่างพากันประกาศปลดพนักงาน ปิดโรงงานประกอบรถกันอย่างต่อเนื่องทั่วโลก มิหนำซ้ำบางรายที่อยู่ในพื้นที่ Covid-19 ระบาดหนัก ๆ อย่างเช่นในหลายมลรัฐของสหรัฐอเมริกา ก็ถูกภาครัฐบังคับให้หยุดดำเนินการเป็นการชั่วคราวจนบางรายตัดใจปิดถาวรให้รู้แล้วรู้รอดกันไปเลยก็มี ทว่าครั้งนี้อาจมีบางอย่างที่แตกต่างกันออกไป เพราะผู้ผลิตหน้าใหม่อย่าง Tesla เข้ามาบุกเบิกการเปลี่ยนผ่านรถยนต์ใช้น้ำมันไปสู่ ยานยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ (EV) โดยมี Tony Stark ในโลกแห่งความจริงอย่าง Elon Musk เป็น CEO นี่แหละ
ท่ามกลางยอดขายทั่วโลกที่ติดลบ 30% | Tesla กลับสวนกระแสขึ้นแท่นท้าชิง Toyota – Volkswagen ด้วยความเป็น Tech Giant หนึ่งเดียวในโลกยานยนต์
Tesla นั้นประกาศชัดตั้งแต่เริ่มทำธุรกิจเลยว่า พวกเขาไม่ใช่แค่ผู้ผลิตยานยนต์หน้าใหม่ แต่พวกเขาคือ “บริษัทเทคโนโลยีที่จะผลิตรถยนต์ด้วยนวัตกรรมออกมาขายในราคาเข้าถึงได้” ต่างหากล่ะ ซึ่งปัจจุบันก็ได้สะท้อนวิสัยทัศน์นี้ออกมาอย่างชัดเจนว่าธุรกิจของ Tesla นั้นดำเนินและเติบโตมาได้ไม่ใช่เพราะแค่การขายรถยนต์ยี่ห้อใหม่ แต่เป็นเพราะเทคโนโลยี EV ที่พวกเขามีอยู่นั้น ยังไม่มีใครเทียบได้เลยไม่ว่าจะเป็นแบรนด์หรูจากญี่ปุ่นหรือยุโรปก็ตาม โดยมีหนึ่งในบุคคลสำคัญนอกจาก Elon Musk แล้วก็คือบุคคลในภาพด้านล่างนี้ “Jim Keller” ผู้เชี่ยวชาญสุดเทพด้าน Silicon Engineering ที่ออกแบบ Chipset ระดับร่วมงานบริหารมาแล้วทั้งกับ Apple – AMD – Intel และแน่นอนเค้าคือหนึ่งในทีมคิดค้น Tesla Autonomous Chipset หรือระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติสุดล้ำที่มีเฉพาะใน Tesla เท่านั้นนั่นเอง
ในช่วง 2 ไตรมาสแรกของปี 2020 นั้น Tesla เองก็ได้รับผลกระทบจาก Covid-19 อยู่เหมือนกันหลังจากโรงงานผลิตหลักใน Fremont, California นั้นถูกสั่งปิดไปก่อนจะได้รับอนุญาตให้เปิดทำการได้อีกครั้งช่วงเดือนเมษายน ซึ่งยอดขายในไตรมาสที่ 2 นั้นก็ตกลงไปจากปี 2019 ไม่มาก เพียงแค่ราว ๆ 5% เท่านั้นส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการปิดโรงงานทำให้ผลิตไม่ทัน ในขณะที่แบรนด์รถยนต์ยักษ์ใหญ่ทั่วโลกไม่ว่าจะเป็น Toyota – Honda – Nissan – Volkswagen – Mercedes Benz – BMW ที่ไม่ได้มีปัญหาด้านการผลิตโดยตรงเท่าไหร่นั้น ยอดขายกลับพากันร่วงติดลบกว่า 30% หากเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปี 2019
นอกจากนั้นแล้ว Tesla ยังเป็นแบรนด์รถยนต์เดียวในโลกที่มี Market Cap สูงขึ้นในปีนี้ โดยเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้ามากถึง 168% เข้าไปแล้ว ซึ่งปัจจุบันนักลงทุนทั้งสายยานยนต์และสายเทค ฯ ต่างพากันเทเงินให้ Tesla อย่างต่อเนื่องส่งผลให้ปัจจุบัน Tesla เป็นหนึ่งในแบรนด์รถยนต์ที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลกถึงราว 5.9 ล้านล้านบาท เรียกได้ว่า Market Cap เทียบเท่ากับ Toyota และ Volkswagen ที่ผลัดกันเป็นเบอร์ 1 ของโลกมาตลอดช่วง 10 ปีหลังเลยทีเดียว ทั้งที่กำลังการผลิตของ Tesla นั้นคิดเป็นแค่ 4% ของ 2 แบรนด์ข้างต้นในปัจจุบัน (Tesla มีกำลังการผลิตปัจจุบันอยู่ที่ 370,000 คันต่อปี ส่วน Toyota และ Volkswagen นั้นเกินกว่า 10 ล้านคันต่อปี) เรียกได้ว่ามูลค่าแบรนด์มาจากความเชื่อมั่นต่อ EV Technology ของ Tesla ล้วน ๆ เพราะปัจจุบันก็ยังไม่ทำกำไรเข้าบริษัทเลยด้วยซ้ำ
Tesla นับเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่เรียกได้ว่าถือครอง EV Technology ที่ดีที่สุดในโลกอยู่เพียงผู้เดียว ทั้งในแง่สมรรถนะ ประสิทธิภาพ ความคุ้มค่า และอัตราการสิ้นเปลืองพลังงาน หรือก็คือถ้าคุณต้องการรถยนต์ไฟฟ้าที่แรงที่สุด สะดวกสบายที่สุด วิ่งได้ไกลที่สุด และราคาคุ้มค่าที่สุด Tesla ยังแทบจะเป็นคำตอบเดียวเท่านั้น โดย Tesla Model 3 และ Model Y ราคาถูกที่สุดของแบรนด์จะอยู่ที่ 1.2 – 2 ล้านบาทไม่รวมภาษีไทย ทำความเร็ว 0 – 100km ได้ต่ำกว่า 5 วินาที ช่วงราคานี้รถน้ำมันไม่มียี่ห้อไหนทำได้แน่ ๆ แถมปัจจุบันชาร์จไฟครั้งนึงวิ่งได้ระดับ 500 กิโลเมตรกันแล้ว
ปัจจุบัน Tesla กำลังอยู่ระหว่างเร่งขยายกำลังการผลิตไปทั่วโลก เพื่อรองรับกับเทรนด์การเปลี่ยนผ่านไปสู่รถไฟฟ้าเต็มรูปแบบ ซึ่งการได้รับความเชื่อมั่นเป็นเม็ดเงินมหาศาลทั้ง ๆ ที่ไม่ทำกำไรสักทีเนี่ยแหละ ทำให้ปัจจุบัน Tesla มีโรงงานผลิตและประกอบรถยนต์อยู่ในสหรัฐ 2 แห่งและที่จีน (เซี่ยงไฮ้) อีก 1 แห่งที่ดำเนินการอยู่ ส่วนในยุโรปนั้นกำลังเร่งก่อสร้างโรงงาน Tesla ที่เมืองเบอลิน ประเทศเยอรมันนี ชนิดหายใจรถจมูก Mercedes Benz – BMW กันเลย 💡 แถมล่าสุดในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา Elon Musk ได้ออกมายืนยันเองแล้วว่า Tesla กำลังเล็งหาที่ตั้งโรงงานเพิ่มอีก 1 แห่งในทวีปเอเชียทำให้เกิดการคาดเดากันไปว่า งานนี้อาจเป็นอินโดนีเซีย เวียดนาม หรือไม่ก็ประเทศไทยของเราก็เป็นได้ เร็ว ๆ นี้จะได้รู้กันล่ะ
อ้างอิง: CNN Tech | CNN Business | Electrek
555 ประเทศไทยรึ…ตื่นๆๆ เที่ยงแล้ว ไปกินข้าวซะ, มีแต่บ.รถที่ย้ายโรงงานออกจากไทยไปเพื่อนบ้านมากกว่า, Elon คงไม่โง่หรอก
"Elon คงไม่โง่หรอก"
Elon ไม่โง่ครับ ถ้าหากว่ามาตั้งโรงงานที่ไทย ก็ไม่ใช่เรื่องที่แปลกใจ
ถึงแม้ไทยจะไม่มีแรงงานถูก แต่แรงงานก็มีคุณภาพกว่าเพื่อนบ้านเยอะ
โรงงานประกอบรถยนต์ในไทยมีหลายโรง มี ปสก. มานานทั้งนั้น
วิศวกรยานยนต์ ก็หาง่ายกว่าเพื่อนบ้าน
ที่ผมกลัวมากกว่าคือ
กลุ่มบริษัทรถยนต์ญี่ปุ่น จะกดดันรัฐบาลไทย ไม่ให้ Elon มาตั้งโรงงานมากกว่า
ที่พอจะสูสีกับไทย(แต่ด้อยกว่าหน่อย)คือ อินโดนีเซีย ที่นู้นเค้าเน้นประกอบรถยนต์ 7 ที่นั่งเป็นหลัก
แต่ข้อดีคือ ประชากรเยอะ คนชั้นกลางก็เยอะขึ้นกว่าเดิมมาก น่าจะขายได้ดี
ไม่มีหรอกครับ ยี่ห้อที่ไม่ได้มีปัญหาด้านการผลิตโดยตรง
ชิ้นส่วน อะไหล่ประกอบ โรงงานหลักล้วนอยู่ที่จีน
บางยี่ห้อ ถึงกับหยุดผลิตไปเลยก็มี ช่วงโควิด
ที่เป็นข่าวดังๆ ก็พวกแบรนด์อังกฤษ
มาไทยเหรอ เหอๆ ฝันชัดๆ
อ่านตัวเต็มแล้วส่วนใหญ่ให้ความเห็นว่าเป็นการปั่นหุ้นทำกำไรเพราะหุ้นเทคโนโลยีตัวอื่นราคาพุ่งออกนอกโลกจนปั่นยากมากๆ แล้ว ส่วน tesla ยังพอปั่นราคาได้
แถมเอาจริงๆ Toyota รวมถึงอีกหลายเจ้ามีพื้นฐานเทคโนโลยีที่ลงทุนเอาไว้รอไว้แล้ว แต่ไม่ได้เร่งตลาด…จนฝั่งภาครัฐออกกฎหมายเป็นฝ่ายเร่งรัดเองอย่างที่ยุโรป เอาจริงๆ แล้วสงครามเรื่องรถยังอีกยาว พื้นฐานเทคโนโลยีไม่ได้ทิ้งกันอย่างที่หลายคนคิด แต่น่าจะเป็นเรื่องซัพพรายฯ ซะมากกว่า
ทั้งที่กำลังการผลิตของ Tesla นั้นคิดเป็นแค่ 4% ของ 2 แบรนด์ข้างต้นในปัจจุบัน
(Tesla มีกำลังการผลิตปัจจุบันอยู่ที่ 370,000 คันต่อปี ส่วน Toyota และ Volkswagen นั้นเกินกว่า 10 ล้านคันต่อปี)
ผมคิดว่าเป็นการปั่นกระแสของเทสล่าเฉยๆ ทั้ง VW Group และ Toyota มันมีความเป็นองค์กรณ์
ในขณะที่ Tesla เหมือนขายภาพลักษณ์ความ cult ของ Elon Musk
เอาเข้าจริง รถไฟฟ้ามันไม่ใช่ศาสตร์ลี้ลับอะไรเลย และจริงๆแล้วมันทำง่ายกว่าเครื่อง ice ด้วยซ้ำ
ที่เจ้าตลาดไม่จำเป็นต้องแบกความเสี่ยงลงเล่นตลาดใหม่ เขาอาจปล่อยให้ Tesla หยั่งเชิงไปก่อน
พอถึงวันที่รถไฟฟ้าเป็นเมนสตรีม บริษัทพวกนี้ดีดนิ้วกริกเดียวเขาก็ทำรถไฟฟ้าขายได้ทันที
ผมคิดแบบเดียวกันเป๊ะเลย ไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องรีบร้อน ถึงเวลาถ้า demand มันมาจริงๆ อย่าง Toyota อย่าง VW มาแน่ และจะเร็วมากด้วย ถึงอาจจะไม่ได้ทำระยะการวิ่งได้มากเท่า แต่ด้วยเทคโนโลยีกับฐานการผลิตที่มีอยู่แล้ว จะแซงได้อย่างรวดเร็ว ด้วยราคาและคุณภาพที่มากกว่า คนซื้อรถมาใช้นอกจาก เทคโนโลยีแล้ว มันมีเรื่องของราคาและความคงทน ราคาขายต่อ ระบบบริการมายุ่งอีกมากมาย รถไฟฟ้าง่ายมากเพราะระบบซ่อมบำรุงง่ายกว่า ชิ้นส่วนน้อยกว่า ซับซ้อนน้อยกว่าเครื่องสันดาปภายในเยอะ การที่มีรถยนต์ hybrid ผลิต mass production มันก็บอกอยู่แล้วว่าตัวเองพร้อมขนาดไหน แค่เอาเครื่อง สันดาป ออก เอามอเตอร์มาใส่ ก็จบแล้ว เรื่องมูลค่าหุ้นนี่ ปั่น มากกกกก ยอดขายแค่ 4% ใน market share แต่มีมูลค่าเท่าเจ้าที่มีเป็น 10-20% นี่ มันน่ากลัวเรื่องการปั่นจริงๆ
ขออภัยครับ 4% คือกำลังผลิต ไม่ใช่ market share ครับ
มูลค่าบริษัท ก็คือราคาเคลม แต่ผลประกอบการจริงต่างหากที่วัดได้จริง
ยอดขายห่างกับ โตโยต้า กับ โฟล์ค ชนิดเกิน 10 เท่า
แต่มูลค่าบริษัทอยู่ที่ 1
ย้อนแย้งกันสุดๆ
gift099 – พูดเหมือนคนไม่มีความรู้อะไรเกี่ยวกับรถยนต์เลย "รถยนต์ไฟฟ้ากับรถยนต์เครื่องยนต์ มันไม่มีอะไรเหมือนกันเลย" ในแง่เทคโนโลยี่ จะเหมือนก็แค่ตัวถัง กับระบบไฟส่องสว่าง แล้วอย่างอื่นอีกนิดหน่อย, วิศวกรยานยนต์ไทยจะไม่มีความหมายอะไรเลย เพราะพื้นความรู้โบราณแล้ว เอามาใช้กับรถยนต์ไฟฟ้าไม่ได้ ต้องเรียนรู้กันใหม่ ถ้าไม่เรียนใหม่ ไม่ปรับตัวก็ตาย
อย่างทุกวันนี้การผลิตรถยนต์ ญี่ปุ่นมันก็ใช้วิศวกรของมันเองซะเป็นส่วนใหญ่ โรงงานแต่ละแห่งเค้ามีวิศวกรประจำอยู่แล้ว คนไทยแค่พนักงานมือ 2, ที่เห็นมากๆก็พวกระดับล่างๆที่มาคอยประกอบชิ้นส่วนให้, มันไม่มาถ่ายทอดเทคโนโลยี่ให้ไทยหรอก โรงงานญี่ปุ่นมาตั้งในไทยกี่สิบปีมาแล้ว คนไทยยังไม่มีปัญญาสร้างรถยนต์เต็มคันได้สักคันเดียว, รถยนต์จะเป็นยังไงบริษัทแม่เป็นคนกำหนดมาทั้งนั้น คนไทยมีหน้าแค่ประกอบ กับซ่อม
คนไทยมักจะเป็นพวกหลงตัวเอง ว่าดีเด่นกว่าคนอื่น แล้วก็จมอยู่กับความคิดโง่นั้น มารู้อีกที เดี๋ยวจะไปอยู่หางแถวของเอเซียแล้ว อย่างขณะนี้ GDP ของไทยก็ต่ำสุดในเอเซียแล้ว การเจริญเติบโตทางธุรกิจติดลบ ไม่มีใครเค้ามาตั้งโรงงานหรอก มีแต่จะหนีไปประเทศอื่นทั้งนั้น
แล้วกลุ่มที่จะไม่ให้เกิดรถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูป ไม่ใช่บริษัทญี่ปุ่นหรอก แต่เป็นกลุ่มธุรกิจน้ำมันต่างหาก เพราะทุกวันนี้ประเทศใช้น้ำมันแพงที่สุดในโลก ในขณะที่ราคาโลกลดลง แต่ไทยขึ้นเอาๆ ถ้ารถยนต์ไฟฟ้ามาเต็มรูป กลุ่มน้ำมันก็จะเสียประโยชน์