หลังจากที่มีข่าวสายชาร์จปลอมดูดเงินระบาดไปทั่วโซเชียลมิเดีย ตอนนี้คดีพลิกแล้วค่ะ เพราะทางธนาคารแห่งประเทศไทยออกมาชี้แจงเองเลยว่า สายชาร์จปลอมไม่ได้ดูดเงินผู้เสียหาย แต่ว่าเกิดจากมิจฉาชีพหลอกลวงให้ติดตั้งแอปพลิเคชันปลอม แล้วภายในแอปมีมัลแวร์แอบแฝง จากนั้นจะควบคุมมือถือของผู้เสียหายเพื่อทำการขโมยข้อมูล และโอนเงินออกไปนั่นเอง
เราจะเห็นได้ว่าหลาย ๆ ข่าวได้โพสต์แจ้งเตือนให้ทุกคนระวังมิจฉาชีพรูปแบบใหม่ มีใจความว่า สายชาร์จปลอม ใช้แล้วดูดเงินผู้ใช้งาน กันเต็มไปหมดต้องบอกว่าถ้าใครเชื่อให้ทำความเข้าใจกันใหม่นะ เพราะความจริงแล้วสายชาร์จไม่ใช่ต้นตอของเรื่องนี้
สายชาร์จไม่ได้ดูดเงิน !
เมื่อธนาคารแห่งประเทศไทย ออกมาชี้แจงกรณีผู้เสียหายร้องเรียน จากเหตุการใช้งานสายชาร์จปลอมแล้วถูกดูดข้อมูลและโอนเงินออกจากบัญชี แต่ความจริง ” เกิดจากผู้เสียหายถูกมิจฉาชีพหลอกลวงให้ติดตั้งแอปพลิเคชันปลอมที่แฝงมัลแวร์ ทำให้มิจฉาชีพล่วงรู้ข้อมูลการทำธุรกรรมของลูกค้า และควบคุมเครื่องโทรศัพท์เพื่อสวมรอยทำธุรกรรมแทนจากระยะไกล เพื่อโอนเงินออกจากบัญชี โดยอาจเลือกทำธุรกรรมในช่วงเวลาที่ผู้เสียหายไม่ได้ใช้งานโทรศัพท์ ”
ในปัจจุบันเราจะเห็นได้ว่า มีมิจฉาชีพมากมายที่พยายามออกมุขใหม่มาเพื่อหาทางสูบเงินเรา ไม่ว่าจะเป็น SMS หลอกลวง, แก๊งคอลเซ็นเตอร์, มิจฉาชีพปลอมเป็น Netflix ,ใช้ Bot สุ่มเลขบัตรเครดิต, ปลอมเว็บหน่วยงานราชการ หรือหลอกให้ดาวน์โหลดสติกเกอร์ฟรีใน Line และล่าสุดข่าวสายชาร์จปลอมดูดเงิน
วิธีรับมือ
เป็นคำแนะนำสถาบันการเงินกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ให้ทุกคนปฏิบัติตามจะได้รู้เท่าทันมิจฉาชีพ
- ปรับปรุงพัฒนาระบบรักษาความปลอดภัยบน Mobile Banking อย่างต่อเนื่อง
- ปิดกั้นเว็บไซต์หลอกลวง และตัดการเชื่อมต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มิจฉาชีพใช้ควบคุมเครื่องผู้เสียหายจากระยะไกล
- แก้ไขปัญหา SMS หลอกลวง ที่แอบอ้างชื่อเป็นสถาบันการเงิน
- จัดให้มีช่องทางการรับแจ้งความออนไลน์เพื่อให้ประชาชนแจ้งความได้สะดวกและอายัดบัญชีได้รวดเร็วขึ้น
- ประชาสัมพันธ์สร้างการตระหนักรู้ แจ้งเตือนภัย และให้คำแนะนำประชาชนอย่างต่อเนื่อง
การป้องกันในเบื้องต้น
1. ไม่คลิกลิงก์จาก SMS LINE และ อีเมลที่มีแหล่งที่มาที่ไม่รู้จักหรือไม่น่าเชื่อถือ
2. ไม่ดาวน์โหลดโปรแกรม นอกเหนือจากแหล่งที่ได้รับการควบคุมและรับรองความปลอดภัยจากผู้พัฒนาระบบปฏิบัติการที่เป็น Official Store อาทิ Play Store หรือ App Store เท่านั้น
3. อัปเดต Mobile Banking ให้เป็นเวอร์ชันล่าสุดอยู่เสมอ หรือตั้งค่าให้มีการอัปเดตแบบอัตโนมัติ ซึ่งจะมีมาตรการป้องกันการควบคุมเครื่องทางไกลรวมถึงมีการปรับปรุงพัฒนาระบบรักษาความมั่นคงปลอดภัยอย่างสม่ำเสมอ
4. ไม่ใช้เครื่องโทรศัพท์มือถือที่ไม่ปลอดภัยมาทำธุรกรรมทางการเงิน อาทิ เครื่องที่ปลดล็อก (root/jailbreak) เพื่อให้สามารถติดตั้งแอปพลิเคชันใด ๆ ก็ได้ หรือใช้เครื่องที่มีระบบปฏิบัติการล้าสมัย เป็นต้น
5. ร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการให้ข้อมูลที่ถูกต้อง เพื่อให้การติดตามแก้ไขปัญหาเป็นไปอย่างรวดเร็ว และหากลูกค้าธนาคารพบธุรกรรมผิดปกติ สามารถติดต่อคอลเซ็นเตอร์หรือสาขาของธนาคารที่ลูกค้าใช้งาน เพื่อแจ้งตรวจสอบและยืนยันความถูกต้องของธุรกรรมในทันที โดยธนาคารจะดูแลแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นโดยเร็วที่สุด
ทุกคนควรนำคำแนะนำไปใช้กันอย่างเคร่งครัด และตรวจสอบข้อมูลทุกอย่างกันให้รอบคอบ เพราะเราสามารถสังเกต และป้องกันได้จะได้ไม่สูญเงินในภายหลัง
ที่มา : ธนาคารแห่งประเทศไทย
Comment