ในเอกสารที่คณะกรรมาธิการการค้าแห่งสหรัฐอเมริกา (FTC) ใช้ยื่นฟ้อง Amazon ในข้อหาผูกขาดทางการค้า ได้ระบุว่า ทางแพลตฟอร์มแอบใช้อัลกอริทึม ขึ้นราคาสินค้าเพื่อหลอกล่อให้แพลตฟอร์มอื่น ๆ ขึ้นตาม เพื่อที่จะได้ขายสินค้าในราคาที่สูงขึ้น และสร้างรายได้ให้กับ Amazon กว่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยที่ผู้ใช้งานแทบไม่รู้ตัวเลย

อย่างที่ทราบกันดีว่า Amazon เป็นเว็บไซต์ e-Commerce ยักษ์ใหญ่เป็นอันดับ 1 ของโลก จึงมีเว็บไซต์คู่แข่งหลาย ๆ รายราคา Amazon เพื่ออ้างอิงเป็นราคาขายในตลาด FTC จึงได้จับตามองและพบว่าทาง Amazon แอบใช้อัลกอริทึมตัวหนึ่งที่ชื่อ Project Nessie ในการปั่นราคาสินค้าในแพลตฟอร์มให้สูงขึ้น

โดยตัวอัลกอริทึมจะคอยจับตาดูว่าแพลตฟอร์มคู่แข่งอื่น ๆ มีการปรับราคาขึ้นตามรึเปล่า ถ้ามีการปรับขึ้นราคาตาม Amazon ก็จะขายสินค้าในราคาที่สูงขึ้นแทนที่ราคาเดิมทันที จึงทำให้ราคาสินค้าพุ่งสูงขึ้น และแอบเก็บกำไรไปแบบเงียบ ๆ กว่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยที่ผู้ใช้งานไม่รู้ตัว

FTC ยังได้ระบุด้วยว่า Amazon ยังได้ปิดอัลกอริทึมตัวนี้ในช่วงโปรโมชั่นลดราคาอย่าง Prime Day รวมถึงในช่วงเทศกาล วันหยุดยาวที่มีคนซื้อของมากเป็นพิเศษ เพื่อไม่ให้ผู้ใช้งาน รวมถึงสื่อต่าง ๆ จับสังเกตได้ และเมื่อช่วงโปรโมชั่นหมดลงตัวอัลกอริทึมก็จะถูกเปิดใช้งานเยอะขึ้นกว่าปกติ เพื่อชดเชยรายได้ในช่วงที่ถูกปิดใช้งานไป

ในช่วงเดือนเมษายนปี 2018 แพลตฟอร์มได้ใช้ Project Nessie ในการปั่นราคาสินค้าไปกว่า 8 ล้านรายการ เก็บส่วนต่างไปได้กว่า 194 ล้านเหรียญฯ และได้หยุดใช้ไปในปี 2019 หลังจากเริ่มมีการร้องเรียนเกิดขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม FTC ได้อ้างว่า Amazon มีแผนที่จะกลับมาเปิดใช้งานอัลกอริทึมตัวนี้หลายครั้ง

ทั้งนี้ Tim Doyle โฆษกของฝั่ง Amazon ได้ออกมาโต้กลับ FTC ว่าได้สร้างภาพลักษณ์ผิด ๆ ให้กับ Project Nessie เพราะอัลกอริทึมตัวนี้มีจุดประสงค์เพื่อป้องกันการตัดราคาของแพลตฟอร์มอื่น ๆ จนทำให้เสียสมดุล และทาง Amazon ก็ได้หยุดใช้อัลกอริทึมตัวไปนี้ไปแล้ว

แต่อย่างไรก็ตาม FTC ก็มองว่าการกระทำในลักษณะแบบนี้เป็น “การแข่งขันทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม” และนอกจากเรื่องอัลกอริทึมตัวนี้แล้ว Amazon ยังได้พยายามปั่นราคาสินค้าให้สูงขึ้น โดยได้แอบกลบสินค้าที่ผู้ขายรายอื่น ๆ ที่ตั้งราคาถูกกว่าของตัวเองให้ผู้ซื้อมองเห็นได้ยากขึ้น รวมถึงพยายามขึ้นราคาค่าธรรมเนียมต่าง ๆ เพื่อบีบให้ร้านค้าในแพลตฟอร์มต้องขึ้นราคาสินค้าด้วย

ที่มา: Reuters, The Verge