ใครที่เล่นเกม VR น่าจะคุ้นกับชื่อของ Oculus แว่น VR ของ Facebook กันอยู่แล้ว แต่เร็วๆ นี้เราอาจจะได้เห็นของเล่นใหม่กับแนวทางของ Meta ที่กำลังจะพาเราก้าวข้ามไปสู่โลก Metaverse กับ Project Cambria
การแข่งขันกันเป็นที่ 1 ระหว่างโซเชียลมีเดียในใจชาวเน็ตทั่วโลกอย่าง Meta กับ TikTok นั้นดูเหมือนจะมีการเล่นสกปรกกันเกิดขึ้นเสียแล้วหลังมีรายงานชิ้นสำคัญ เผยว่าบริษัทแม่ของ Facebook – Instagram อย่าง Meta นั้นอาจมีการว่าจ้างล็อบบี้ยิสต์ด้านการเมืองระดับมืออาชีพให้สร้างแคมเปญเพื่อบ่อนทำลายชื่อเสียง TikTok ซึ่งอาจรวมถึงกรณีข้อกล่าวหาเรื่องความรุนแรงบนโลกอินเทอร์เน็ตและการเป็นภัยคุกคามด้านข้อมูลบนโลกออนไลน์ซึ่งเป็นประเด็นใหญ่ที่กระทบชื่อเสียงของ TikTok โดยตรงตลอดหลายปีที่ผ่านมา
Meta ประกาศออกอัปเดตใหม่ให้แอป Messenger เป็นการเข้าถึงฟีเจอร์บางอย่างโดยการพิมพ์คำสั่งสั้น ๆ ลงไป โดยมีฟีเจอร์ที่น่าสนใจหลัก ๆ 2 อย่าง อย่างแรกคือ @everyone สำหรับเมนชันถึงทุกคนในห้องแชต ไม่ต้องไล่แท็กทีละคนเหมือนที่ผ่านมา อย่างถัดมาคือ /silent เมื่อส่งข้อความไปแล้วอีกฝ่ายจะไม่ได้รับการแจ้งเตือน เหมาะสำหรับการส่งข้อความที่ไม่เร่งด่วนหรือส่งข้อความนอกเวลางาน โดยเฉพาะตอนกลางคืนที่อีกฝ่ายอาจนอนหลับพักผ่อนอยู่
Reels ฟีเจอร์คลิปวิดีโอสั้นเปิดให้บริการบน Instagram ประเทศไทยมาครบ 1 ปีแล้ว และพึ่งขยายบริการมาสู่ Facebook เมื่อ 1 เดือนก่อน โดย Meta ที่เป็นบริษัทแม่ของทั้ง 2 แพลตฟอร์มจึงได้ถือโอกาสนี้เปิดเผยสถิติที่น่าสนใจต่าง ๆ โดยพบว่า ไทยเป็นประเทศที่มีการใช้งาน Reels เยอะเป็นลำดับต้น ๆ ของโลกเลย
เป็นที่ทราบกันดีว่า TikTok ถือเป็นคู่แข่งทางธุรกิจตัวเป้งของ Facebook และ Mark Zuckerberg เคยยอมรับในเรื่องนี้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม ล่าสุดมีคนไปพบว่า Facebook ได้สร้างบัญชีอย่างเป็นทางบน TikTok แล้วเสียอย่างนั้น โดยสื่อต่างประเทศตั้งข้อสังเกตว่า Meta อาจใช้กลยุทธ์นี้เพื่อขยายฐานผู้ใช้งานในกลุ่ม Gen Z ที่ส่วนใหญ่ชอบเล่น TikTok นั่นเอง
Meta (หรือ Facebook) เปิดตัวแพลตฟอร์ม Reels ฟีเจอร์ที่คล้าย TikTok เพิ่มเติมบน Facebook ในอีกหลากหลายประเทศ 150 ประเทศทั่วโลก หลังจากเปิดให้ทดสอบลองใช้งานในสหรัฐอเมริกาไปเมื่อช่วงปีที่ผ่านมา โดยประเทศไทยสามารถใช้งานฟีเจอร์ใหม่นี้ได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว แท็บเข้าใช้งานอยู่หน้า News Feed ใกล้ๆ Stories และ Rooms
Google ได้ออกมาประกาศยกระดับนโยบายความเป็นส่วนตัว (Privacy) ครั้งใหม่บนอุปกรณ์ Android ทั้งหมด โดยมีสาระสำคัญอยู่ที่ “การจำกัดการเข้าถึงข้อมูลการใช้งาน Apps ต่าง ๆ ที่ผูกอยู่กับการระบุตัวตนอุปกรณ์” แบบเดียวกันกับที่ทาง Apple ได้ประกาศใช้ไปก่อนแล้ว ซึ่งเล่นเอาแพลตฟอร์มโฆษณาดิจิทัลอย่าง Meta (Facebook) ต้องสูญเสีย MarketCap ไปร่วม 7 ล้านล้านบาทและอาจไม่หยุดอยู่แค่นี้หากต้องรับผลกระทบแบบเดียวกันจากฝั่ง Android ทั้งหมดอีกครั้งหลังจากนี้
จากที่ Meta ได้ออกแถลงการณ์ว่า บริษัทฯ อาจต้องตัดสินใจถอดถอนบริการ Facebook และ Instagram ออกจากยุโรป เนื่องจากยังไม่สามารถหาข้อยุติเรื่องถ่ายโอนข้อมูลข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกได้ ล่าสุดทางสหภาพยุโรปตอกกลับทันควัน โดยรัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจของเยอรมนีและรัฐมนตรีคลังของฝรั่งเศสกล่าวในทำนองเดียวกันว่า ชีวิตจะดีมากถ้าไม่มี Facebook และจะไม่สนใจคำขู่ดังกล่าว พร้อมยืนยันถึงอำนาจอธิปไตยของตน
จากรายงานประจำปี 2564 ที่ Meta ยื่นต่อ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ในอเมริกา กลายเป็นประเด็นน่าสนใจเมื่อมีส่วนหนึ่งของเอกสารที่บริษัทฯ ระบุว่า Facebook และ Instagram อาจต้องปิดการให้บริการในยุโรป หลังคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลตัดสินว่า “การนำข้อมูลจากเซิร์ฟเวอร์ในยุโรปไปใช้ในสหรัฐฯ” ขัดต่อกฎระเบียบให้ความคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของผู้บริโภค หรือที่เรียกย่อ ๆ ว่า GDPR
เมื่อช่วงหลายปีที่ผ่านมา Facebook (หรือปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น Meta) ถือว่าเจอกับปัญหาหลากหลายแทบจะสิบทิศเลยก็ว่าได้ ทั้งคดี Cambridge Analytica, ปัญหาการผูกขาด Antitrust หรือเรื่องทำข้อมูลส่วนตัวขอผู้ใช้งานหลุด แต่ถึงอย่างไรผู้คนก็ยังไม่สามารถละเลิกจากการเล่น Facebook ได้อยู่ดี …ทว่าล่าสุดจากการรายงานผลประกอบการประจำไตรมาสสุดท้ายของปีที่ผ่านมา พบว่ายอดผู้ใช้งานเฉลี่ยต่อวัน (Average Daily User) ลดลงไปมากถึง 1 ล้านคน
