ถือว่าเป็นอีกความเคลื่อนไหวสำคัญในด้านกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับ Tech Giants ต่างชาติทั้งหลายที่เข้ามามีบทบาทต่อผู้บริโภคชาวไทย ครั้งนี้เป็นกฎหมายการจัดเก็บภาษีจากการให้บริการของแพลตฟอร์มต่างชาติที่มีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี โดยมี Apple – Google – Facebook – Netflix – LINE เข้าคิวเสีย VAT เป็นปีแรก สรรพากรเล็งจัดเก็บรายได้เข้ารัฐกว่า 5,000 ล้านบาท ส่วนฝั่งผู้บริโภคยังต้องจับตาต่อไปว่าสุดท้ายจะรับภาระเสียค่าบริการสูงขึ้นด้วยหรือไม่
จากที่ก่อนหน้านี้เพียงราว ๆ ครึ่งปีที่ผ่านมานี้เอง ทางครม. ได้มีมติเห็นชอบร่างกฎหมายการจัดเก็บภาษีประเภท VAT จากบรรดาผู้ให้บริการดิจิทัลจากต่างประเทศ หรือที่เรารู้จักในชื่อว่า “กฎหมายภาษี e-Service” จนเกิดเป็นกระแสฮือฮากันไปทั่วโดยเฉพาะสำหรับบรรดาชาวเน็ตไทยทั้งในแง่บวกและแง่ลบ ล่าสุดกฎหมายฉบับนี้ได้ประกาศมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการแล้วผ่านในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 10 ก.พ. 2564 นี้เอง โดยจะเริ่มมีผลบังคับจัดเก็บภาษีจากรายได้ทั้งหมดของผู้ให้บริการกลุ่มดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย. นี้เป็นต้นไป เบื้องต้นสรรพากรประเมินอาจทำรายได้เข้ารัฐในปีแรกได้สูงถึงราว ๆ 5,000 ล้านบาทเลยทีเดียว
สาระสำคัญ e-Service | มุ่งเก็บภาษีจากแพลตฟอร์มดิจิทัลต่างประเทศที่ทำรายได้จากคนไทยเกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี
สำหรับกฎหมายภาษี e-Service ฉบับนี้ที่กำลังจะมีผลบังคับใช้เพื่อนำรายได้มาคำนวณตั้งแต่เดือนกันยายนปี 2564 นี้เป็นต้นไป ระบุเอาไว้ว่า “ผู้ให้บริการอิเล็กทรอนิกส์และแพลตฟอร์มอิเล็กทรกนิกส์ผ่านทางอินเทอร์เน็ตจากต่างประเทศที่มีรายได้จากการประกอบการในประเทศไทย ซึ่งมีรายได้มากกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี มีหน้าที่ต้องจดทะเบียนสำหรับเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ต่อสรรพากรในอัตรา 7%” ซึ่งโดยสรุปแล้ว เราสามารถจำแนกประเภทของผู้ให้บริการต่าง ๆ ใต้บังคับของกฎหมาย e-Service ของไทยได้ดังนี้
- บริการ Streaming ที่มีรายได้จากค่าบริการ (เช่น Netflix – Spotify)
- บริการให้ดาวน์โหลดสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ (หนัง เกมส์ เพลง แอป ฯ หรือแม้แต่ LINE Sticker Store)
- แพลตฟอร์มสำหรับการให้บริการ หรือเป็นตัวกลางส่งมอบบริการอิเล็กทรอนิกส์และชำระค่าบริการ (เช่น App Store – Play Store)
- แพลตฟอร์ม/บริการประเภทใด ๆ ที่มีรายได้จากการให้พื้นที่ หรือบริหารจัดการพื้นที่โฆษณาออนไลน์ (เช่น Google – Facebook – LINE – TikTok)
โดยหลักการ e-Service คือเพิ่มรายได้เข้ารัฐ – แต่มาพร้อมความกังวลรายย่อย ค้าขายออนไลน์ และการผลักภาระให้ผู้บริโภคจ่ายแทน
ถึงแม้โดยหลักการแล้วเราจะเห็นว่าภาษี e-Service นี้เป็นเรื่องที่ดีมากกว่าลบอย่างแน่นอน เพราะเป็นเครื่องมือในการช่วยภาครัฐจัดเก็บรายได้เพิ่มขึ้นได้อย่างมีนัยยะสำคัญเพราะผู้บริโภคในโลกดิจิทัลของไทยนั้นมีการใช้บริการและพึ่งพาบรรดา Tech Giants ต่างชาติสูงมาก ๆ เงินหมุนเวียนในระบบที่เกิดจากคนไทยย่อมต้องสูงตาม แต่อย่างไรก็ตาม การประกาศบังคับใช้กฎหมายฉบับนี้ก็สร้างความกังวลให้ชาวเน็ตไทยอยู่ไม่น้อยทีเดียว
เรื่องแรกก่อนเลยคือ มีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับผู้ให้บริการรายย่อย หรือพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ชาวไทยที่ใช้บริการแพลตฟอร์มต่างชาติเหล่านี้เป็นช่องทางในการจัดจำหน่ายหรือสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ จะไม่อยู่ภายใต้บังคับของภาษีชุดนี้อย่างแน่นอน ไม่ว่าจะในฐานะเจ้าของแพลตฟอร์มไทย ผู้ให้บริการไทย หรือพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ต้องเสียภาษีนะครับ เพราะการมีรายได้ในฐานะบุคคลสัญชาติไทย ไม่ว่าคุณจะเป็น พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์หรือผู้ให้บริการสัญชาติไทย ทำธุรกิจในเมืองไทย ยังไงก็ต้องเสียภาษีอยู่แล้วโดยไม่เกี่ยวกับภาษี e-Service ฉบับนี้แต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม อีกประเด็นความน่ากังวลซึ่งดูจะเป็นผลเสียที่อาจเกิดขึ้นได้จริงมากกว่าจากการบังคับใช้ภาษี e-Service ฉบับนี้คือ การผลักภาระทางภาษีให้แก่ผู้บริโภคหรือชาวเน็ตไทยซึ่งไม่อาจควบคุมได้เลย ตัวอย่างเช่น หากบริการสตรีมมิ่งชื่อดังอย่าง Netflix เล็งเห็นว่าการต้องเสียภาษีจากการให้บริการแก่ผู้บริโภคไทยนั้นจะทำให้พวกเขาเสียรายได้ ทางแก้ที่ง่ายที่สุดก็คือเพิ่มค่าบริการขึ้นไปอีกในสัดส่วน 7 – 10% เพื่อให้ครอบคลุมอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มที่ต้องเสียจากการให้บริการในไทยนั่นเอง ซึ่งแน่นอนว่าจะไม่เป็นผลดีต่อชาวเน็ตอย่างพวกเราแน่นอน
แต่ในทางกลับกันการที่บริษัทต่างชาติเหล่านี้เข้ามาแสวงหาผลประโยชน์อยู่ในประเทศเรา แต่กลับไม่ต้องเสีย VAT หรือเสียภาษีอย่างที่ผู้ประกอบการไทยต้องเสีย มันก็ดูจะไม่แฟร์กับคนไทยอย่างเราๆอีกเช่นกัน โดยจำนวนประเทศชาติต้องเสียโอกาสจัดเก็บไป ถ้าตัวเลขเป็นไปตามที่ประเมินก็สูงถึงหลักหลายพันล้านบาท หากถูกนำไปใช้พัฒนาประเทศ “อย่างเหมาะสม” มันก็ทำให้เกิดประโยชน์ขึ้นได้มากเช่นเดียวกัน
อ่านเพิ่มเติม: Tech Gianst ไม่เสียภาษี ? ทำไมทำได้ ? ประเทศต่าง ๆ ยอม ?
อ้างอิง: Prachachat | Ratchakitcha
ภาษีแค่ห้าพันล้าน
ควรเก็บ แต่ไม่ควรเก็บให้สูงมาก เพราะผู้บริโภคก็เสียภาษีด้านอื่นไปแล้ว เช่นค่าขนส่ง ค่าบริการอินเตอร์เน็ต
จริงๆเขาน่าจะเก็บผู้ให้บริการนะ ถ้าผู้ให้บริการจดทะเบียนในบางประเทศ เขาจะมีอนุสัญญาภาษีซ้ำซ้อน ก็จะประมาณเสียไทยแล้วบ้านเขาอาจได้ลดหรือไม่ต้องเสีย ค่าบริการอาจไม่เปลี่ยนแปลง
ใช่ครับ เพราะสุดท้ายก็ต้องดูว่าผู้ให้บริการก็จะเพิ่มราคา ให้ผู้บริโภคจ่ายเพิ่มขึ้นเองหรือเปล่า
แวท สุดท้ายมาลงที่ผู้บริโภค คนจ่ายคือคนบริโภค พวกผู้ประกอบการแค่เพิ่มงานเอกสาร
เกลียดรัฐบาลมาก แต่อันนี้เห็นด้วยว่าถ้าเก็บได้ก็เก็บไป ถ้าแพงขึ้นเดี๋ยวคนก็ลดการใช้งานลงไปเอง ถ้าไม่ได้เก็บเวอร์ๆนะ ซึ่งทำให้เงินออกต่างประเทศลดลง คือแพงขึ้นแต่เงินยังวนในประเทศบ้าง
ผมว่ามันเป็นทางหรือเครื่องมือ ที่จะรู้ว่า บ. พวกนี้ได้รายได้เท่าไหร่ โดยดูจะภาษี vat แล้วไปเก็บ ภาษีเงินได้ อีกต่อ อันนี้เป็นธรรมครับ
มันมีฟังก์ชั่นเสียภาษีใน google play อยู่แล้ว โดนผลักให้คนใช้แอปจ่าย จบข่าว ไม่ได้เดือนร้อนอะไรนอกจากคนจ่ายเงิน